ยังให้น้ำหนักกับการเคลื่อนไหวเชิงบวกของ SET

ยังให้น้ำหนักกับการเคลื่อนไหวเชิงบวกของ SET

ยังประเมินตลาดหุ้นมีโอกาสเกิด Relief Rally ขึ้นทดสอบ 1,650-1,680 จุด

เนื่องจาก 1) เงินเฟ้อมีโอกาสผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากการผ่านฐานที่ต่ำสุดพ.ค.63 และมีโอกาสชะลอตัวลงจากนี้ 2) ความกังวลเงินเฟ้อทพ.ค.64 ที่สูงถึง 5% ลดลง โดยเฉพาะเมื่อมององค์ประกอบของเงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยชั่วคราว 3) ประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ส่งลดการผ่อนคลายแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลาอีกระยะ 4) โมเมนตัมของการเร่งฉีดวัคซีนและเปิดเมือง ที่หนุนภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจของทั่วโลก 5) อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี สหรัฐฯ ที่ลดลง (จากคาดการณ์เงินเฟ้อน่าจะสูงสุดแล้ว) ผ่อนคลายแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มปลอดภัย (ที่ถูกกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้นในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา) เป็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของหุ้น สื่อสาร, กองรีทส์, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงหุ้นสาธารณูปโภคและไฟฟ้าขนาดใหญ่ อาทิ ADVANC, BTSGIF, ALLY, CPNREIT, FTREIT, WHART, BTS, BEM, RATCH, EGCO, BGRIM, GULF, GPSC

ความขัดแย้งกับจีนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ผู้นำกลุ่มประเทศ G7 เห็นพ้องต้องกันว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่ในชื่อ "Build Back Better World" เพื่อจัดหาเงินทุนสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนา เป็นทางเลือกใหม่นอกเหนือจากโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน นอกจากนี้การหารือในหลายหัวข้อ รวมถึงความช่วยเหลือด้านวัคซีนต่อประเทศกำลังพัฒนา แสดงถึงการรวมพลังกันรับมือการแผ่อิทธิพลของจีน ทำให้ความขัดแย้งกับจีน เป็นปัจจัยที่ต้องจับตา เรามองการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน จะเป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และหุ้นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ AMATA, AMATAV, WHA, WHAUP, EASTW, ROJNA, NNCL เป็นต้น

ศบค.เห็นชอบผ่อนคลายมาตรการควบคุมในกทม. ในกิจการ 5 ประเภท ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ และโบราณสถานต่างๆ, สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ต่างๆ, คลินิกเสริมความงาม, สถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพ (อนุญาตเฉพาะนวดฝ่าเท้า), ร้านทำเล็บและร้านสัก มีผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนจำกัด อย่างไรก็ตามเป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ในกทม.อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และมีแนวโน้มจะเห็นการติดเชื้อที่ลดลง ซึ่งเมื่อรวมกับการเร่งฉีดวัคซีน (ที่แม้อาจจะมีปัญหาความไม่พอเพียงในระยะสั้น) แต่จะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง

ธีมลงทุนอื่นที่น่าสนใจ 1) กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ PTT, PTTGC, IVL, IRPC 2) อาหารและเกษตร TVO, CPI, TU, CPF 3) ได้ประโยชน์จากเราชนะ TNP และ KK เนื่องจากเป็นร้านค้าธงฟ้า 4) การขายประกันโควิด บวกต่อ THRE, TIP, TQM 5) ปันผลและกองรีทส์ ADVANC, BTSGIF, CPNREIT, AIMIRT, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW, TIP 6) เก็งกำไรกลุ่มดิจิตัลทีวี BEC, WORK, MONO, JKN 7) หุ้นกลุ่มเหล็ก TSTH, GJS, AMC 8) กลุ่มโลจิติกส์ที่มีสัญญาณระยะสั้นเป็นบวก SONIC, NCL 9) หุ้นกลุ่มเรือ TTA, PSL, RCL

ภาพรวมกลยุทธ์ คาด SET Index ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากคลายกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยเฉพาะหากเฟดไม่ส่งสัญญาณลดการผ่อนคลายทางการเงินที่รุนแรงเกินไปในการประชุม 15-16 มิ.ย.คาดจะหนุนให้หุ้นที่เคลื่อนไหวแย่ที่สุดตั้งแต่โควิด อย่าง สื่อสารและกองรีทส์ (รวมถึงหุ้นอื่นที่ถูกกดดันจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับขึ้น) จะมีโอกาสฟื้นตัวมาช่วยดัชนี นอกจากนี้มองบวกต่อการเก็งกำไรกลุ่มเปิดเมืองและหุ้น IPO ที่เข้ามาในปีนี้ // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร AWC*, ASW*, RATCH*, FORTH*

แนวรับ: 1,630 / แนวต้าน : 1,650-1,680 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

ธนาคารกลางหลายแห่งเตรียมขึ้นดอกเบี้ย. นำโดยแคนาดาซึ่งเป็นแห่งแรกในกลุ่ม G7 ที่ประกาศถอนมาตรการกระตุ้นและส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยปี 65 ขณะที่นอร์เวย์เล็งขึ้นดอกเบี้ยในช่วง 3Q-4Q64

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ เดือน มิ.ย. ปรับขึ้นสู่ระดับ 86.4 โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 84.0 และมากกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 82.9 รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการจ้างงาน

เลื่อนฉีดวัคซีน. รพ.รัฐ-เอกชน เลื่อนฉีดวัคซีนโควิด ช่วง 14-20 มิ.ย. "อนุทิน" ปัดไม่เกี่ยวกับสาธารณสุข ยืนยันแอสตร้าฯ 1.5 ล้านโดสเข้ามาปลายสัปดาห์นี้ ขณะที่ซิโนแวค 1 ล้านโดสอยู่ระหว่างการตรวจรับ

คลังย้ำ "คนละครึ่ง เฟส-3" เริ่มลงทะเบียน 14 มิ.ย.  โดยผู้ที่เคยรับสิทธิคนละครึ่งเฟส 1 และ 2 รวมทั้ง ไม่ได้รับสิทธิ์ จะต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด เพื่อยืนยันเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้เชื่อสิทธิเพียงพอทั้งกลุ่มเก่า-ใหม่

ประเด็นติดตาม: - 15 มิ.ย.: US PPI เดือน พ.ค., US Retail Sales เดือน พ.ค. / 16 มิ.ย.: FOMC Meeting

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)