‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 13 จุดเหตุหุ้น‘จอห์นสัน’กดดันตลาด

‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 13 จุดเหตุหุ้น‘จอห์นสัน’กดดันตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันศุกร์ (11มิ.ย.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบแคบ บวกแค่ 13 จุดท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาหุ้นของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) และแคทเธอร์ พิลลาร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 13.36 จุด ปิดที่ 34,479.60 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 4,247.44 จุด และดัชนีแนสแด็ก บวก 0.4% ปิดที่ 14,069.42 จุด

ราคาหุ้นจอห์นสันฯ ร่วงลงกว่า 1% สู่ระดับ 164.30 ดอลลาร์ หลังนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) มีคำสั่งให้บริษัทจอห์นสันฯทำการทิ้งวัคซีนโควิด-19 จำนวน 60 ล้านโดสที่มีการผลิตในโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองบัลติมอร์ เนื่องจากพบว่าอาจมีการปนเปื้อน

โรงงานดังกล่าว ซึ่งมีการดำเนินการโดยบริษัทอีเมอร์เจนท์ ไบโอโซลูชั่นส์ อิงค์ ได้ถูกสั่งปิดในเดือนเม.ย. หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบการละเมิดกฎระเบียบหลายประการ ซึ่งรวมถึงการปนเปื้อนวัคซีนของจอห์นสันฯกับสารประกอบในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ส่งผลให้วัคซีนของจอห์นสันฯและแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนรวม 170 ล้านโดสถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการปนเปื้อน

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าเฟดจะยังไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเกินคาดเมื่อวานนี้

นักวิเคราะห์ระบุว่าตัวเลขเงินเฟ้อถูกบิดเบือนจากการเปรียบเทียบกับตัวเลขฐานที่ต่ำผิดปกติในปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นราคาสินค้าได้ทรุดตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจากการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนพ.ค.ยังมีสาเหตุจากราคารถยนต์มือสองและรถบรรทุกที่ทะยานขึ้นมากกว่า 7% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นราว 1 ใน 3 ของการดีดตัวขึ้นของเงินเฟ้อในเดือนพ.ค. โดยการเพิ่มขึ้นของราคารถยนต์มือสองมักเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงรักษาจุดยืนในการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมวันที่ 15-16 มิ.ย. โดยเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) วงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน

อย่างไรก็ดี คาดว่าเฟดจะเริ่มหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. และจะเริ่มดำเนินการปรับลดคิวอีในเดือนธ.ค.หรือต้นปีหน้า ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2566

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อปีที่แล้ว โดยได้ประกาศการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งสำคัญ ซึ่งเฟดจะเปลี่ยนแปลงแนวทางในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยจะเปิดทางให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนับสนุนตลาดแรงงาน และเศรษฐกิจสหรัฐ

สำหรับในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ คาดว่านายพาวเวลจะส่งสัญญาณการปรับลดวงเงินคิวอีท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ออกมาส่งสัญญาณให้ตลาดการเงินเตรียมตัวพร้อมรับการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของเฟดก่อนหน้านี้

ที่ผ่านมา ประเทศในตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนามักได้รับความเสี่ยงสูงสุดจากการที่เฟดใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน และหากเฟดมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินด้วยการปรับลดคิวอี และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็จะส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐ และกระทบอย่างหนักต่อตลาดเกิดใหม่ดังที่เคยเกิดขึ้นในปี 2541 และ 2556