SMK - ซื้อ (10 มิ.ย.64)

SMK - ซื้อ (10 มิ.ย.64)

คาดกำไรจะเติบโตดีในช่วงเวลาที่เหลือของปี แม้กำไรไตรมาสแรกแผ่ว

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

162331572989

กำไรสุทธิงวด 1Q64 ลดลง 9%YoY และ 4%QoQ : งวด 1Q64 มีกำไรสุทธิ 176 ล้านบาท ลดลง 9%YoY และ 4%QoQ  โดยมีเบี้ยประกันภัยรับ 2,680 ล้านบาท ลดลง 4%YoY สวนทางกับภาพรวมของธุรกิจประกันวินาศภัยที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 2.4%YoY  ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และประกันอัคคีภัยในช่วง 1Q64 ยังเติบโตได้ดี โดยเพิ่มขึ้น 14%YoY, 25%YoY และ 7%YoY ตามลำดับ ขณะที่เบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ดลดลง 42.5%YoY จากฐานที่สูงมากในปี 63 เนื่องจากกรมธรรม์โควิดครบอายุปลายเดือนมี.ค. 64 และลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ต่ออายุกรมธรรม์  ทั้งนี้ยอดเคลมที่ลดลงส่งผลให้อัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเท่ากับ 54% ลดลงจาก 65% ใน 1Q63 และ 60% ใน 4Q63 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ทำให้ประชาชน WFH ใช้รถยนต์ในการเดินทางน้อยลงจึงเกิดอุบัติเหตุและเคลมสินไหมลดลง และการดูแลสุขภาพมากขึ้นเพื่อป้องกันติดเชื้อไวรัสโควิด-19  ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิ 7% ทรงตัว YoY แต่ลดลงจาก 8%QoQ  กำไรงวด 1Q64 คิดเป็น 19% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ที่ 908 ล้านบาท

  • คงประมาณการกำไรปี 2564 ตามเดิมซึ่งเติบโต 20%YoY : ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ปี 64 มีแนวโน้มพลิกเติบโตเมื่อเทียบกับปี 63 จากการทยอยฉีดวัคซีน และการที่ประชาชนเห็นความสำคัญในการซื้อประกันมากขึ้นเพื่อโอนความเสี่ยง ประกอบกับปี 64 บริษัทยังทำการพัฒนากรมธรรม์ต่อเนื่องเพื่อขยายตลาดประกันรถยนต์และรับมือการแข่งขันที่รุนแรง เรายังคงคาดรายได้จากการรับประกันภัยรวมสำหรับปี 2564 ตามเดิมที่ 11,282 ล้านบาทซึ่งพลิกเติบโต 11%YoY โดยคาดว่าเบี้ยประกันภัยจะพลิกเติบโตตั้งแต่ 2Q64 เป็นต้นไปโดยมีปัจจัยหนุนเบี้ยประกันภัยโควิดพลิกเติบโตสูงจากไตรมาสแรกหลังเชื้อไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดระลอก 3 โดยเริ่มจากคลัสเตอร์ทองหล่อและอีกหลายคลัสเตอร์ในเขตกทม.และปริมณฑล  ทำให้รายได้จากการประกันภัยคุ้มครองโควิด-19 ซึ่งมีอัตรากำไรสูงมีแนวโน้มขยายตัวดี  ด้านรายได้จากการลงทุนคาดว่าจะมีแนวโน้มดีตามภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 63 เห็นได้จากในเดือนพ.ค. ดัชนี SET ทะลุระดับ 1,600 จุดและไม่มีผลขาดทุนจากเครดิตฯเช่นในปี 63 จำนวน 142 ล้านบาท ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 6.5% และ อัตรากำไรสุทธิ 7.8%  ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 64 คงเดิมที่ 908 ล้านบาท เติบโต 20%YoY  ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในช่วง 2Q64 และช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มดีกว่าช่วงไตรมาสแรก
  • อินชัวร์เทคสร้างโอกาสและรักษาการเติบโตของรายได้ในอนาคต : การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันทำให้บริษัทปรับตัวในการดำเนินตามนโยบายด้าน Digital Transformation ในการใช้ “Insure Tech” ที่ช่วยสนับสนุนการขายและช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการ บริษัทได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น “SMK aLL” เพื่อให้บริการครบวงจรในการซื้อประกัน ชำระเบี้ย เคลมค่าเสียหาย ค้นหาอู่ซ่อมรถในเครือ และโรงพยาบาลพันธมิตร รวมถึงสะสมคะแนนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ  การออกกรมธรรม์ในรูป E-policy พัฒนาการจ่ายชำระแบบใหม่ ๆ อาทิ Payment Link, Prompt-pay หรือ QR code ใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน  ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในภาวะค่าธรรมเนียมต่ำและเข้าถึงลูกค้าด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ทั้งนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปี 63 ช่วยเร่งให้มีปริมาณการใช้งานมากขึ้น และสนับสนุนแผนพัฒนาเบี้ยประกัน Non Motor  และพัฒนาระบบประกันภัยทางทะเลและขนส่งให้สามารถรองรับการขยายธุรกิจแบบยั่งยืนในอนาคต
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 44 บาท : ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวอีกทั้งสถานภาพธุรกิจที่ยังแข็งแกร่งและมั่นคงสะท้อนได้จากที่มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายเท่ากับ 62% ณ วันที่ 31 มี.ค. 64 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ระบุว่าไม่ต่ำกว่า 120% (ที่มา ปผว. รายไตรมาสเผยแพร่เมื่อ 31 พ.ค. 64) ในการประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี PBV อิง Prospected PBV ที่ระดับ 1.19 เท่าซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี โดยประเมินมูลค่าบัญชีต่อหุ้นปี 2564 เท่ากับ 36.9 บาท ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 44 บาทสำหรับปี 2564 ยังมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันพร้อมคาดการณ์เงินปันผลหุ้นละ 2.63 บาทคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend yield) อยู่ในระดับที่น่าสนใจราว 6.9% ต่อปี  จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”