โลกหลัง 'โควิด' เป็นของ 'ผู้นำ' การเปลี่ยนแปลง

โลกหลัง 'โควิด' เป็นของ 'ผู้นำ' การเปลี่ยนแปลง

การระบาดที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนกดปุ่มฟาสต์ฟอร์เวิร์ดไปสู่อนาคต

ในภาวะการเกิดโรคระบาดที่ทุกคนต้องดำเนินชีวืตกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในภาคธุรกิจเองการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในขณะนี้ ซึ่ง กุญแจ” สำคัญหนีไม่พ้นการปรับเปลี่ยนตังเองและองค์กรไปสู่ “ดิจิทัล” อย่างเต็มรูปแบบ

สอดคล้องกับรายงาน “เอคเซนเชอร์ เทคโนโลยี วิชัน 2021” ที่ระบุว่าการแพร่ระบาดทั่วโลกเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” จะเป็นผู้กำหนดอนาคต โดยภาวะผู้นำคือตัวแปรสำคัญในยุคที่ทุกธุรกิจผันตัวไปเป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยี และหลังจากภาวะโรคระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก เทคโนโลยีจะเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้ด้วยวิถีใหม่

+++หาช่องเจาะตลาดอนาคต

นิธินันท์ สมบูรณ์วิทย์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า เอคเซนเชอร์ได้สำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 

6,200 รายในการจัดทำรายงานดังกล่าว โดย 92% ของผู้บริหารระบุว่า องค์กรของตนกำลังสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยความเร่งด่วน และ 91% ของผู้บริหารต่างเห็นตรงกันว่า การจะเจาะตลาดแห่งอนาคตนั้น องค์กรจะต้องเป็นผู้กำหนดวิถีด้วยตนเองว่าควรเป็นอย่างไร

การที่องค์กรจะกำหนดทิศทางแห่งอนาคตได้นั้น จะต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยยึดหลักสำคัญ 3 ประการ 1.ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี หมดยุคแห่งการเป็นผู้ที่ตามได้เร็วแล้ว เพราะการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ผู้นำของวันข้างหน้า คือ ผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำในการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจ 

2. ผู้นำจะไม่รอให้เกิดนิว นอร์มอล แต่จะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา พัฒนาตามสภาวะความเป็นจริงใหม่โดยใช้แนวคิดและรูปแบบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง และ 3.ผู้นำย่อมเป็นผู้ที่รับผิดชอบมากขึ้น ในฐานะพลเมืองโลก โดยการออกแบบและนำเทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างสิ่งดี ๆ นอกเหนือจากประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร เพื่อร่วมสร้างโลกที่ยั่งยืนและคำนึงถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

+++เป้าหมายต้องชัดเจน

นอกจากนี้ รายงานยังระบุถึง “ผู้นำที่เป็นที่ต้องการ :ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” จากการบีบร่นระยะเวลาการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลจากที่ต้องใช้เป็นสิบปี ให้เกิดขึ้นได้ภายใน 1 หรือ 2 ปี งานวิจัยของเอคเซนเชอร์พบว่า เมื่อองค์กรมีพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแรง จะปรับใช้และคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็วในพริบตา ผู้นำก็สามารถต่อยอดสร้างรายได้ให้องค์กรได้เร็วขึ้น โดยเร็วกว่าองค์กรที่ตามอยู่ถึง 5 เท่าในปัจจุบัน เทียบกับที่ก้าวหน้ากว่า 2  โดยผลที่เกิดขึ้น คือ บริษัทต่างแข่งขันกันเพื่อปรับตัวปรับบทบาทใหม่ รวมถึงการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมาเอง เพื่อเป็นผู้กำหนดสภาวะความเป็นจริงแบบใหม่ที่พวกเขาต้องเผชิญ 

ดังนั้น องค์กรที่ยังไม่สามารถปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลได้ และไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดเป้าหมายในการนำดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า องค์กรไม่จำเป็นต้องปรับตัวสู่ดิจิทัลทั้งหมด แต่ขอให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมาย และกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ก่อน ที่สำคัญคือเป้าหมายต้องชัดเจนตีโจทย์ให้แตก

“การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นเหมือนกดปุ่มฟาสต์ฟอร์เวิร์ดไปสู่อนาคต หลายองค์กรปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในแบบใหม่เพื่อรักษาธุรกิจและชุมชนให้อยู่รอด และพัฒนาไปในแบบที่ไม่คิดว่าจะทำได้มาก่อน ในขณะที่มีอีกหลายองค์กรที่ประสบกับความจริงที่เจ็บปวด มีทั้งความไม่พร้อมและขาดพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการปรับองค์กรให้ได้อย่างรวดเร็ว” 

+++5เทรนด์ที่จะเกิดอีก3ปี

เธอ ระบุว่า กระแสเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นใน 5 แนวทางหลักที่องค์กรต่าง ๆ จะต้องรับมือในช่วง 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ 1.จัดลำดับเชิงกลยุทธ์ พัฒนาสถาปัตยกรรมเพื่ออนาคต มองเทคโนโลยีมาผสานกลยุทธ์ให้เป็นเนื้อเดียวกัน 2.สร้างโลกคู่ขนานโดยใช้ข้อมูล และระบบอัจฉริยะขึ้นมาบนดิจิทัลสเปซ เพื่อปลดล็อกศักยภาพให้องค์กรสามารถดำเนินการร่วมมือและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้

3.ทุกคนเก่งเทคโนโลยีได้ด้วยการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมทำให้องค์กรมีฐานรากแน่นสำหรับการวางกลยุทธ์ด้านนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แก้ไขจุดที่เป็นปัญหา และช่วยให้ธุรกิจก้าวทันต่อความต้องการใหม่ ๆ 4.ทำงานที่ใดก็ได้ การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของรูปแบบการทำงาน ส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับขอบเขตขององค์กรให้กว้างขึ้น และสามารถมองโอกาสการคิดใหม่ในด้านธุรกิจด้วยและ 5. รอดได้ด้วยความร่วมมือ โดยใช้ระบบที่หลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม การมีระบบที่เอื้อให้เกิดทำงานร่วมกันหลายฝ่ายจะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีขึ้น ปลดล็อกให้เกิดแนวทางใหม่ ๆ ในการเข้าสู่ตลาด