‘สุพัฒนพงษ์’ มอง 4 สัญญาณบวกหนุนเศรษฐกิจไทยฝ่า 'โควิด'

‘สุพัฒนพงษ์’ มอง 4 สัญญาณบวกหนุนเศรษฐกิจไทยฝ่า 'โควิด'

"สุพัฒนพงษ์" ประเมิน 4 สัญญาณบวกเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤติโควิดชี้เศรษฐกิจหดตัวน้อยกว่าคาด ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้นมาก การลงทุนเอกชนเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมาชัดเจน จัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของไทยยังอยู่ในสถานะที่ดี

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "@supattanapongp" ว่าถึงแม้จะอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่มีสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจว่ามี 4 สัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ได้แก่ 
1.ตัวเลขเศรษฐกิจติดลบน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน แต่พบว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบอยู่ที่ 2.6% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขติดลบที่น้อยกว่าไตรมาสที่แล้ว และในความเป็นจริง ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะติดลบมากกว่านี้ดังที่หลายสํานักได้คาดการณ์ไว้
2.ราคาสินคา้เกษตรและการส่งออกดีขึ้นมาก ในไตรมาส 1 มีสัญญาณบวกที่เห็นได้ชัดในเรื่องราคาพืชผลและการส่งออกที่ดีขึ้นมาก โดยราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการส่งออกกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส
3. มีการขยายตัวด้านการลงทุนของภาคเอกชน ประเด็นที่น่าสนใจคือมีการขยายตัวของภาคเอกชนซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 4 ไตรมาสที่มีการระบาดของโควิด-19 แม้จะมีอัตราการขยายตัวไม่มาก แต่นับเป็นสัญญาณที่ดี โดยพบว่ามีการนำเข้าสินค้าทุนสูงขึ้น แสดงให้เห็นถึงการลงทุนด้านเครื่องจักรต่างๆ ที่จะช่วยเสริมการผลิตของประเทศไทยในอนาคต นอกจากนี้ยังมีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไตรมาส 1 ของปีนี้ ซึ่งเติบโตมากกว่าในไตรมาส 1 ของปีที่แล้วถึง 80%
อาจเป็นรูปภาพของ หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ
4.การจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของไทยยังอยู่ในสถานะที่ดี จากข้อมูลเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2563 พบว่าประเทศไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น อยู่ที่ราว 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยนับเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน สถาบันการเงินในประเทศทั้งธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์อยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง โดยหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในไตรมาส 1 อยู่ที่ 3.1% มีการตั้งสำรองสูงทั้งยังมีการตั้งสำรองเพิ่มเติม และอัตราส่วนของกองทุนก็เกินมาตรฐานขั้นต่ำอยู่หลายเท่าตัว
"นอกจากสัญญาณบวกทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลยังร่วมงานกับทุกภาคส่วนในการออกมาตรการที่หลากหลาย เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ควบคู่กันไป ทั้งมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ ลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ ลดเงินสมทบประกันสังคม เลื่อนการชำระภาษี ลดอัตราดอกเบี้ย เลื่อนการชำระเงินต้นของสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงการที่แรงงานในมาตรา 33 ที่โดนหยุดกิจการจากการประกาศหรือคำสั่งของรัฐในกรณีเหตุสุดวิสัยต้องได้รับการชดเชย"
นอกจากนี้ในภาพรวมรัฐบาลยังเตรียมมาตรการการรองรับสภาพคล่อง การรักษาการจ้างแรงงานสำหรับทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ มาตรการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ BSF ซึ่งออกเมื่อปีที่แล้วในจำนวนเงิน 400,000 ล้านบาท มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินของธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู พักทรัพย์ พักหนี้ 350,000 ล้านบาท การกระตุ้นการบริโภคและเยียวยาผ่านโครงการเราชนะ ซึ่งอนุมัติไปแล้ว 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1,000 บาท
และล่าสุด ครม. ได้อนุมัติเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ ทั้งหมดนี้หากรวมกับ พ.ร.ก. เงินกู้เพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท จะทำให้มีมาตรการรองรับหรือเงินสำรองในการใช้ควบคุมดูแลผลกระทบและความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ได้อย่างทันท่วงที
นายสุพัฒนพงษ์ยังกล่าวถึงเหตุผลที่งบประมาณของกระทรวงพลังงานสูงกว่าปีที่แล้วด้วยว่า
ในประเด็นเรื่องกระทรวงพลังงานตั้งงบประมาณสูงกว่าปีที่แล้วถึง 19% ในขณะที่งบประมาณของกระทรวงอื่นๆ ลดลง ขอชี้แจงว่าเนื่องจากมีการเพิ่มงบประมาณเฉพาะเรื่องเพื่อแก้ไขปัญหา 2 เรื่อง ดังนี้
1. งบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายการจ้างที่ปรึกษากฎหมายในการต่อสู้ข้อพิพาทกับคู่สัญญาสัมปทาน 2 ราย ซึ่งเป็นสัญญาตั้งแต่ปี 2515 เพื่อขอตีความเรื่องความรับผิดชอบของคู่สัญญาสัมปทานเมื่อหมดอายุสัมปทาน ทั้งนี้ตามสัญญามีการใช้เกณฑ์อนุญาโตตุลาการระบบสากล จึงมีความจำเป็นต้องจ้างทนายหรือนักกฎหมายในระดับสากลมาช่วยรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยให้ได้มากที่สุด
2. งบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ได้เข้าช่วยเหลือเกษตรกรในปี 2561 เนื่องจากตอนนั้นเกษตรกรได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ลดลงเป็นอย่างมาก จึงต้องเข้าไปช่วยพยุงและรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบไว้ ประเด็นนี้เป็นไปตามมติของ ครม.
ทั้งนี้หากหักลบงบประมาณเฉพาะเรื่อง 2 รายการนี้ออกจากงบประมาณของกระทรวงพลังงานในปี 2565 แล้ว จะทำงบประมาณของกระทรวงลดลงเหลือ 2,031 ล้านบาท ซึ่งลดลงกว่าปีที่แล้วกว่า 11% ถือว่าลดลงเป็นอันดับต้นๆ ของกระทรวงทั้งหมด อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานยังคงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะดำเนินงานตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ในแผนงบประมาณปี 2565 ให้ได้อย่างครบถ้วนต่อไป