TNP - ถือ (28 พ.ค.64)

TNP - ถือ (28 พ.ค.64)

คาดกำไรงวด 2Q64 ชะลอจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงเติบโต 32%YoY

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

  • กำไรงวด 1Q64 เท่ากับ 57 ลบ. (สูงกว่าคาด 27%) +80%YoY +29%QoQ: บริษัทรายงานกำไรงวด 1Q64 เท่ากับ 57 ลบ. (สูงกว่าที่คาด 27%) +80%YoY +29%QoQ โดยมีรายได้เท่ากับ 752 ลบ. (สูงกว่าที่คาด 16%) +37%YoY +22%QoQ มีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ บัตรสวัสดิการฯ เราชนะ และ ม.33 ซึ่งสนับสนุนให้ SSSG +3%YoY ประกอบกับในช่วง 1Q64 บริษัทขยายสาขาเพิ่มอีก 1 สาขา สู่ทั้งหมด 33 สาขา ส่วน %GPM อยู่ที่ระดับ 16.2% ทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อน ทั้งนี้ กำไรงวด 1Q64 ที่ 57 ลบ. คิดเป็น 38% ของประมาณการทั้งปี 64
  • คาดกำไรงวด 2Q64 ราว 37 ลบ. +32%YoY -35%QoQ: เราคาดรายได้งวด 2Q64 ราว 600 ลบ. +16%YoY -21%QoQ โดยไตรมาสนี้บริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้น 1 แห่งที่ อ.เชียงคำ จ.พะเยา สู่ทั้งหมด 34 สาขา (+4 สาขา YoY +1 สาขา QoQ) อย่างไรก็ดี แนวโน้มรายได้หดตัว QoQ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านแอพพลิเคชั่น เป๋าตังทยอยสิ้นสุดเมื่อช่วงปลายเดือน มี.. แต่กลับมากระตุ้นอีกครั้งเมื่อช่วงวันที่ 20 .. เป็นต้นมา หลังจากเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 นอกจากนี้ ไตรมาส 2 ยังเป็นช่วง Low Season ของปี ขณะที่ %GPM คาดอยู่ที่ระดับ 16% อ่อนลงเล็กน้อยจาก 2Q63 และ 1Q64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2% ส่วน %SG&A คาดราว 9% สูงขึ้นจาก 1Q64 ที่ระดับ 7.3% แต่ลดลงจาก 2Q63 ที่ระดับ 10% ส่งผลให้คาดกำไรงวด 2Q64 ราว 37 ลบ. +32%YoY -35%QoQ
  • ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 64 สู่ 177 ลบ. (เพิ่ม 18%) +32%YoY: เราปรับเพิ่มประมาณการรายได้ในปี 64 สู่ 2,593 ลบ.(เพิ่ม 7%) +11%YoY เนื่องจากรายได้และกำไรงวด 1Q64 เปิดเผยออกมาดีกว่าที่คาด อย่างไรก็ดี เรายังคงสมมติฐานการขยายสาขาเพิ่ม 5 สาขา แบ่งเป็นเปิดในช่วง 1H64 จำนวน 2 สาขา และ 2H64 จำนวน 3 สาขา ขณะที่ %GPM คาดจะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 3% เท่ากับปี 63 ส่วน %SG&A คาดจะปรับลดลงสู่ 8.5% จากเดิมคาดที่ 9.5% เป็นผลจากการประหยัดจากขนาด ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ 177 ลบ.(เพิ่มขึ้น 18%) + 32%YoY
  • คงคำแนะนำ ถือปรับราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นเป็น 00 บาท จากเดิม 4.66 บาท: เราปรับราคาเหมาะสม TNP ขึ้นสู่ 6.00 บาท จากเดิม 4.66 บาท จากการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นขึ้นสู่ 0.221 บาท/หุ้น จากเดิม 0.186 บาท/หุ้น ประกอบกับปรับ Prospective PER เพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 27.5x (3Yr.Avg.+1.25SD) แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 32x อย่างไรก็ดี เราคงคำแนะนำ ถือ เนื่องจากราคาเหมาะสมมีอัพไซต์น้อยกว่า 10%

ปัจจัยเสี่ยง

        i) แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมค้าปลีก

        ii) แผนการขยายสาขาไม่เป็นไปตามเป้า

        iii) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมเริ่มชะลอลง

        iiii) ภาครัฐหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจ