BGRIMจ่อขายหุ้นกู้8พันล้านก.ค.นี้ หวังนำเงินขยายกิจการ-คืนหนี้

BGRIMจ่อขายหุ้นกู้8พันล้านก.ค.นี้ หวังนำเงินขยายกิจการ-คืนหนี้

BGRIM เตรียมออกหุ้นกู้ 8 พันล้าน “กรีนบอนด์-หุ้นกู้ระยะยาว” ต้นก.ค.64 ออกมากว่าแผนเดิมที่คาดปีนี้ออก5-7 พันล้าน เหตุเพื่อรองรับการซื้อกิจการโรงไฟฟ้า คาดปิดดีล 2-3แห่งครึ่งปีหลัง

นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)หรือBGRIM เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะออกหุ้นกู้รวม 8,000ล้านบาท ในเดือนต้นเดือนก.ค.นี้ แบ่งเป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม(กรีนบอนด์) จำนวน 3,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ส่วนอีก 5,000 ล้านบาท เป็นการขายหุ้นกู้ระยะยาว 2 ชุดอายุ 3 ปีและ10ปี

ทั้งนี้เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวบริษัทจะนำไปใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งที่เป็นการสร้างใหม่ ,การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) และการชำระคืนเงินกู้ที่ครอบกำหนด ซึ่งในส่วนของกรีนบอนด์นั้นจะนำไป ชำระคืนหนี้ที่กู้มาเพื่อลงทุนใน โครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งได้แก่ โครงการ พลังงานแสงอาทิตย์ (โครงการ Dau Tieng 1& 2 และโครงการ Phu Yen TTP) และ พลังงานลม (โครงการบ่อทอง วินด์ฟาร์ม)เท่านั้น

สำหรับการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ถือว่ามากกว่าที่บริษัทประเมินไว้ในช่วงต้นปีที่จะออก 5,000-7,000 ล้านบาท เนื่องจากเพื่อรองรับการเข้าควบรวมและซื้อกิจการ(M&A)ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณา2-3 ดีล ซึ่งเป็นทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ในประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในครึ่งปีหลัง 

ดังนั้นทำให้ปีนี้บริษัทเชื่อว่าจะเพิ่มผลิตไฟฟ้าได้ตามเป้าที่ 1,000 เมกะวัตต์ โดยยังคงเป้าปี2568 จะมีสัญญาณขายไฟฟ้า 7,200 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผน 5ปี โดยเตรียมประกาศออกมา

นายนพเดช กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส2ปีนี้ คาดว่าทิศทางเติบโตต่อเนื่อง เพราะลูกค้าเดิมกลุ่มอุตสาหกรรมมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โรงงานผลิตแก๊ส ฯลฯและมีลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่จะมีการใช้ไฟฟ้าอีกว่า 40 เมกะวัตต์ นอกจากนี้บริษัทมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานต่อเนื่อง

ดังนั้นจึงมั่นใจว่าอีบิทด้ามาร์จินปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ระดับ29% เพราะการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าที่จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ลูกค้าอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้ามากขึ้น โดยในช่วงไตรมาส1ปี 2564 บริษัทสามารถทำอีบิทด้าได้สูงสุดที่ 31.5%