กองทุนลุยออกกองทุนต่างประเทศ เชื่อผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทย

กองทุนลุยออกกองทุนต่างประเทศ เชื่อผลตอบแทนดีกว่าหุ้นไทย

บลจ.วี เตรียมออกกองทุนใหมปีนี้ อีก 6 กอง ส่วนใหญ่เป็นกองทุนต่างประเทศ เหตุ เชื่อผลตอบแทนดี โควิดเริ่มคลี่คลาย “มอร์นิ่งสตาร์” เผย 4 เดือนเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนหุ้นต่างประเทศ เริ่มแผ่ว  โดยเฉพาะหุ้นจีน  เหตุนักลงทุนเข้าไปลงทุนมากแล้ว 

นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของไตรมาส 2 มีแผนออกกองทุนอีกประมาณ 2 กอง ส่วนในครึ่งปีหลังมีแผนออกประมาณ 4 กอง โดยส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนในต่างประเทศ ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ไม่ได้กระทบแผนการออกกองทุน เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ในต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย และให้ผลตอบแทนดี

โดยยังคงเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ใน 3 ปี หลังจากเปิดดำเนินการคาดว่าจะได้ AUM แตะ 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดดำเนินการมาได้ 2 ปี 2 เดือน มี AUM ราว 7,500 ล้านบาท โดยนับจากสิ้นปี 2563 ถึงสิ้นเดือน เม.ย.2564 มีการเติบโตประมาณ 17% ในส่วนการปรับพอร์ตเน้นในธีมเงินเฟ้อ (Theme reflation) มากขึ้น เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทย ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.2564 )เป็นเงินไหลเข้าสุทธิ  63,000 ล้านบาท โดยในเดือนเม.ย.2564 เป็นเงินไหลเข้าสุทธิ 35,000 ล้านบาท ทางด้านกองทุนหุ้นโดยเฉพาะในต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนหุ้นจีน เริ่มมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนชะลอตัวบ้าง โดยกองทุนหุ้นจีน ในเดือนเม.ย.เป็นเม็ดเงินไหลเข้าเพียง 5,000 ล้านบาท เริ่มชะลอตัวลงมากจากในไตรมาสแรกปีนี้ เป็นเงินไหลเข้าถึง 50,000 ล้านบาท ทั้งนี้การชะลอตัวลงของเงินลงทุนไหลเข้ากองทุน น่าจะมาจากนักลงทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างมากแล้วและหลังจากมีโควิด-19 ระลอก 3 อาจทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าไปลงทุนมากนัก 

อย่างไรก็ตามการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศ ยังสามารถให้ผลตอบแทนโดยรวมดีกว่าหุ้นไทย จะเห็นได้ว่า กองทุนยังมีการออกกองทุนใหม่ประเภทกองทุนในต่างประเทศต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาและตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งยังได้รับความนิยม  

ดังนั้น แนะว่านักลงทุนต้องพิจารณาความเสี่ยงในเรื่องราคาหลักทรัพย์ที่ปรับขึ้นไปมากแล้ว อาจจะต้องระวังการเข้าลงทุนมากขึ้น เช่นในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ที่มีการปรับฐานลงมาในขณะนี้  แต่ธีมการลงทุนดังกล่าวถือเป็นธีมการลงทุนในระยะยาวที่มีการเติบโตได้ดี  ดังนั้นนักลงทุนควรลงทุนในกองทุนในระยะยาว และต้องเริ่มกลับมาพิจารณาพอร์ตลงทุนของตนเองว่ามีสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศสูงแล้วหรือไม่ อาจจะต้องสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้