ถอดรหัส 'ความเหลื่อมล้ำ' ในห้องเรียน

ถอดรหัส 'ความเหลื่อมล้ำ' ในห้องเรียน

ถอดรหัส "ความเหลื่อมล้ำ" ในห้องเรียน ที่จะกลายเป็นต้นตอของความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ในอนาคต เมื่อความแตกต่างทั้งลักษณะส่วนตัว ความพร้อม ความสามารถในการเรียนรู้ การดูแลจากครอบครัว ทรัพยากรทางการศึกษาที่บ้าน ล้วนส่งผลต่อเด็กเก่งและอ่อนต่างกัน

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เด็กในห้องเดียวกันได้เกรด 4 หมดทุกวิชาเหมือนกันทุกคน แม้จะเป็นห้องระดับหัวกะทิของโรงเรียน นี่คือความจริงซึ่งเกิดขึ้นกับทุกห้องเรียน ทุกโรงเรียน และทุกประเทศ งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษาทั่วโลกได้ผลการศึกษาที่สอดคล้องกันว่า ความเหลื่อมล้ำในห้องเรียนคือต้นทางของความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ 

หากเป็นความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กหัวกะทิที่มาจากครอบครัวฐานะดี เรื่องนี้อาจไม่น่าห่วง แต่สำหรับครอบครัวที่ยากจน ความเหลื่อมล้ำในห้องเรียนอาจหมายถึงการส่งต่อความยากจนจากรุ่นหนึ่งไปยังคนรุ่นต่อไปในครอบครัวอีกด้วย

นโยบายด้านในการยกระดับคุณภาพการศึกษามักเป็นนโยบายภาพใหญ่ แต่พอนำมาใช้ในระดับห้องเรียน เด็กทุกคนจะถูกสอนด้วยวิธีการเดียวกัน เข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาที่โรงเรียนจัดให้ในระดับเดียวกัน การใช้วิธีเดียวกันด้วยเจตนาดีที่ดูเหมือนจะสร้างความเท่าเทียมนี่แหละคือบ่อเกิดของความเหลื่อมล้ำโดยไม่ตั้งใจ

เด็กมีความแตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะส่วนตัวของเด็ก เช่น ทัศนคติ ความพร้อม ความสามารถในการเรียนรู้ การดูแลจากครอบครัว ทรัพยากรทางการศึกษาที่บ้าน ดังนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าความแตกต่างเหล่านี้มีผลต่อความสำเร็จในการเรียนอย่างไร และสิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ ความแตกต่างเหล่านี้ยังส่งผลกับเด็กเรียนเก่งกับเด็กเรียนอ่อนในระดับที่แตกต่างกัน

162133101479

รูปที่แสดงไว้ ใช้คะแนนการสอบ PISA ปี 2561 มาแยกวิเคราะห์บทบาทของปัจจัย 4 ด้านที่ทำให้คะแนนสอบของเด็กในเมืองและชนบทแตกต่างกัน ได้แก่ ตัวเด็ก สภาพครอบครัว ทรัพยากรทางการศึกษาที่ครอบครัวจัดหาให้แก่เด็ก และลักษณะของโรงเรียน (เช่น การบริหารจัดการ ขนาดโรงเรียน ขนาดชั้นเรียน จำนวนครู) การวิเคราะห์แบ่งเป็น 2 มิติ คือ เทียบระหว่างเด็กเรียนอ่อน หรือกลุ่มที่คะแนนต่ำระดับ 25% ล่างสุดของห้อง (P25) และนักเรียนที่เรียนได้ตามเกณฑ์ที่คาดหวัง (P50)

ตัวเลข % ที่แสดงไว้ หมายถึงบทบาทของปัจจัยแต่ละด้านว่าส่งผลต่อคะแนนสอบ PISA ของเด็กในระดับใด ยกตัวอย่างเช่น เด็กชายกลุ่ม P25 ลักษณะเฉพาะตัวมีบทบาท 15% ส่วนโรงเรียนมีบทบาท 26% ต่างจากเด็กชายกลุ่ม P50 ที่โรงเรียนมีบทบาทเหลือแค่ 20% แต่ตัวเด็กเองกลับมีบทบาทเพิ่มเป็น 33% กรณีของเด็กหญิงในกลุ่ม P25 และ P50 เราก็เห็นความแตกต่างนี้เช่นกันเหมือนกัน

ผลการวิเคราะห์มีข้อค้นพบสำคัญ 2 ข้อดังนี้ 

1.การปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งพัฒนาโรงเรียนเพียงอย่างเดียวจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อให้เรายกระดับทรัพยากรในโรงเรียน พัฒนาครู โครงสร้างแรงจูงใจในการทำงาน เปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการ สิ่งเหล่านี้ก็จะมีบทบาทราว 20-26% หรือ 1 ใน 4 ของความสำเร็จด้านการเรียนของเด็กแต่ละคนเท่านั้น หากจะให้เด็กมีความสำเร็จในการเรียนมากขึ้น ต้องมองว่าการจัดการศึกษาไม่ได้เกิดขึ้นที่โรงเรียนเท่านั้น เด็กควรถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาในระบบนิเวศการศึกษาที่โรงเรียน ชุมชน และครอบครัวช่วยกันสร้างขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้เอง นโยบายด้านการศึกษาควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณลักษณะส่วนตัวของเด็กตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ความช่วยเหลือกับครอบครัวทั้งด้านทรัพยากรและองค์ความรู้ที่ช่วยให้สามารถเลี้ยงดูเด็กได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังต้องจัดหาทรัพยากรทางการศึกษาที่จำเป็นให้เด็กเข้าถึงโดยสะดวกนอกเวลาเรียน ซึ่งอาจเป็นระดับครัวเรือน หรือระดับชุมชนก็ได้

2.ห้องเรียนที่ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมคือห้องเรียนที่เหลื่อมล้ำที่สุด การจัดเด็กเข้าไปในแต่ละชั้นเรียนควรจัดโดยใช้ “เหตุต้นทาง” เพื่อให้เด็กที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน มีรูปแบบการเรียนรู้ที่ตัวเองถนัดเหมือนกันได้อยู่ในห้องเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้การจัดการศึกษาในชั้นเรียนเป็นประโยชน์กับเด็กทุกคนในห้องในระดับที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด

ในอดีตการจะใช้ประโยชน์จากข้อค้นพบทั้ง 2 เรื่องนี้ทำได้ยาก แต่ในปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี บุคลากร และองค์ความรู้มากพอแล้ว คำถามจึงไม่ใช่เรื่องควรหรือไม่ควรทำ แต่เป็นการถามกันว่าเมื่อใดจะลงมือทำเสียที

ที่มา : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว, Unlocking Student Achievement Disparities in Thailand : Evidence fromPISA 2018 (อยู่ระหว่างดำเนินการ)