“หมอบุญ”  ทำนายสาธารณสุขไทยใกล้วิกฤติหนัก

“หมอบุญ”  ทำนายสาธารณสุขไทยใกล้วิกฤติหนัก

 “หมอบุญ”ทำนายได้เห็นวิกฤติหนักรพ.เกินรับผู้ป่วยไหว หลังตัวเลขผู้ป่วยเข้ารพ.และไอซียูเพิ่มเป็นเท่าตัว  แนะเร่งตรวจเชิงรุกและฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดป้องกันเกิด ระลอก 4 -5 และไวรัสกลายพันธุ์สัญญาติไทย ยิ่งรักษายากและติดง่าย ตายเร็ว เหมือนอินเดีย

นพ.บุญ  วนาสิน   ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี แฮลท์แคลร์ กรุ๊ป  จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยในรายการ "ฐานทอล์ก" มองว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรวมในประเทศยังต่ำกว่าความเป็นจริง 4 เท่า  ยกตัวอย่าง เคสในกรมราชทัณฑ์ที่ตรวจผู้ติดเชื้อเจอในอัตรา 80 หรือโรงงานต้องเป็นจุดเข้าไปตรวจเชิงรุก พร้อมคาดการณ์ระบบสาธารณสุขจะเข้าขั้นวิกฤตในอีก 2 สัปดาห์หน้า

คาดการณ์ไว้วันนี้ว่าระลอกที่ 3 จะอยู่นานและ 2 สัปดาห์หน้าจะเห็นวิกฤติใหญ่ รพ.รับได้ 1,500 คนต่อวันแต่วันนี้จำนวนเลยไปมาก  ห้องไอซียูต้องใช้ 4คนต่อ 1เตียง  จนทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยไปถึงจุดที่รับไม่ไหว คนเข้ารพ. 3 เท่า ใช้ห้องไอซียู 2 เท่า   

เคสที่เห็นได้ชัดเจนคือกลุ่มธนบุรีมีห้องไอซียู 62 ห้อง กลายเป็นวันนี้ใช้เต็มจำนวนและยังมีคิวรอใช้อีกหลายราย   ห้องแลป PPE กลายเป็นไม่พอใช้ต้องสั่งเพิ่ม ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ดีใจเพราะเกิดจากการระบาดและประชาชนเดือดร้อน

การระบาดระลอก 3 เคยระบุแล้วว่ามี ปัจจัยเสี่ยง 5 ประเด็น  คือ 1.จำนวนผู้ติดเชื้อ 2.ระบาดรอบ 3 หลีกเลี่ยงไม่ได้    3. วัคซีนความหวัง  4.ไวรัสกลายพันธุ์  และ5.การเกิดคลัสเตอร์  ล้วนแต่เป็นระเบิดเวลา

ปัญหาที่เจอจากการระบาดระลอก 3 คือไวรัสกลายพันธุ์ที่ติดได้ง่ายกว่า รวดเร็ว และเป็นโรคมากกว่ากว่าช่วงมาจากฮูฮั่นทำให้การรักษาทวีเพิ่มมากขึ้นเพราะจาก 100 คนป่วยมี 1 คนเข้าไอซียูกลายเป็น 3 คน  ที่ต้องการตัดวงจรตรงนี้คือรีบฉีดวัคซีนให้กับคนที่ยังไม่ติดเชื้อให้เร็วที่สุด

ตามหลักการติดเชื้อจจากบุคคลหนึ่งไปอีกคนไวรัสจะพัฒนาให้มีความแข็งแรงมากขึ้นเพื่อจะได้อยู่ได้  ถ้าวนไปเรื่อยๆไปแบบนี้กลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ไทยในที่สุด เช่นเดียวกับที่อินเดียที่ระบาดเป็นรอบที่ 5 รักษายาก  เสียชีวิตมาก  ซึ่งถ้าปล่อยให้ติดเชื้อไปเรื่อยๆเกิดระลอก 4-5 สุดท้ายจะกลายเป็นไวรัสกลายพันธุ์ไทยในที่สุด

ดังนั้นการดำเนินการที่ดีที่สุดในการทำให้วงจรการระบาดไปไม่ถึงระลอกที่ 4และ 5 การดำเนินการตรวจเชื้อเน้นบุคคลากรด้านแรก เช่น หมอ พยาบาล หรือบุคคลากรทางการแพทย์มาถูกทาง แต่ลำดับถัดไปคือประชากรที่อายุ 25-60 ปี สำคัญเพราะต้องใช้ชีวิต ต้องออกไปทำงาน เรียกได้ว่าต้องตรวจเชิงรุกมากกว่านี้ 20 เท่า  

และเรื่องวัคซีนด้านไทยกลับจองต่ำ  บวกกับช่วงส.ค.-ธ.ค. 2563 ไทยไม่มีการติดเชื้อจำนวนมากรัฐบาลอาจจะชะล่าใจจึงรอวัคซีนแอสตร้าฯที่ผลิตในไทยซึ่งจะได้รับจำนวนมากคือเดือนมิ.ย. 2564  

ส่วนภาคเอกชนเข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนในช่วงดังกล่าวกลับเจออุปสรรคตามที่เป็นข่าวกันไป  ซึ่งทางกลุ่มธนบุรีเป็นกล่มแรกที่สั่งวัคซีนเดือนพ.ย. 2563 จำนวน 50 ล้านโดส  ซึ่งช่วงนั้นสหรัฐสั่งซื้อไป 3 เท่า หรือ 1,300 ล้านโดส  อังกฤษสั่ง 6 เท่า แคนดาสั่ง 3 เท่า  ทำให้วัคซีนขาดตลาดเพราะชาติตะวันตกสั่งวัคซีนไปตุนไว้

ถ้าวันนั้นไทยมีวัคซีนทางเลือกเข้ามาเพิ่ม 50 ล้านโดสสามารถนำมากระจายได้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน 4 เดือน เพราะเข็มแรกสร้างภูมิคุ้มกันได้แล้ว   สำหรับแอสตร้าฯ ที่ยุโรปประกาศไม่ให้ฉีดแอสตร้าฯเข็มที่สองให้เปลี่ยนเป็นโมเดอร์น่าหรือไฟเซอร์เข็มที่สองแทน เพราะกลัวผลข้างเคียงเกิดลิ่มเลือดอุดตันแต่วันนี้ยุโรปเลี่ยงไม่ได้ต้องใช้แอสตร้าฯ เข็มแรกอยู่ดี

เรื่องการเปลี่ยนวัคซีนสามารถทำได้และมีการรองรับการแนะนำแล้วของ CDC ของยุโรปซึ่งภูมิคุ้มกันจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า และป้องกันไวรัสกลายพันธุ์   เนื่องจากวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์ไปอยู่ที่สหรัฐหมดทำให้ยุโรปก็ไม่มีทางเลือกต้องใช้วัคซีนแอสตร้าฯ   

ส่วนไทยวัคซีนทางเลือกจองรายเดียวคือโมเดอร์น่า  หลังได้การรองรับขึ้นทะเบียนแล้วทางกลุ่มเตรียมเงิน 5,000 ล้านบาท ในการวางเงินซื้อวัคซีนโมเดอร์น่า  แต่สุดท้ายหลายแห่งกลับถอยเพราะเห็นรัฐบาลสั่งมาจำนวนมากลัวขาดทุน   จำนวนโควต้าได้คือ 5 ล้านโดสกว่าจะได้รับเดือน ก.ย.  จะเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ที่ 4 ไป แต่วันนี้ไม่ควรเลือกควรฉีดป้องกันไว้ให้ได้มากที่สุด

มุมมองของผมเห็นว่ายิ่งมีจำนวนมากยิ่งดี เพราะทั่วโลกต้องการวัคซีน 5,000 ล้านโดส แต่ฉีดไป 1,000 ล้านโดส  ถ้าในประเทศไม่อยากฉีดแล้วประเทศใกล้เคียงยังต้องการหรือผู้ที่จะเข้ามาไทยยังต้องการ