เตรียมทำหนังสือ 'แย้งคำสั่งอัยการ' ไม่ฟ้อง 19 รีสอร์ทม่อนแจ่ม

เตรียมทำหนังสือ 'แย้งคำสั่งอัยการ' ไม่ฟ้อง 19 รีสอร์ทม่อนแจ่ม

สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 ขอเข้าร่วมคณะทำงาน พนักงานสอบสวน คดีรีสอร์ทม่อนแจ่ม รุกพื้นที่ป่าสงวน เพื่อทำหนังสือความเห็นแย้งคำสั่งอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง 19 รีสอร์ทม่อนแจ่ม

วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายกมล นวลใย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผยว่า กรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตำบลโป่งแยง ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนักท่องเที่ยวรู้จักกันในชื่อ ม่อนแจ่ม ซึ่งมีการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ด้วยการทำเป็นรีสอร์ทโรงแรมที่พักนั้น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึง กรมป่าไม้ ได้เข้ารื้อถอนและดำเนินคดีกับรีสอร์ทที่บุกรุกพื้นที่ป่า


โดยมีจำนวนคดีอาญา สอบสวนเสร็จสิ้นและส่งสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการแล้วจำนวน 28 คดี อัยการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องจำนวน 19 คดี ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการของพนักงานสอบสวนสภ.แม่ริม สำหรับสาเหตุที่อัยการสั่งไม่ฟ้องจำนวน 19 คดี ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ผู้ประกอบการรีสอร์ทขาดเจตนาในการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ


สำหรับกรณีดังกล่าวนี้ เนื่องจากพื้นที่ที่เป็นคดีความเป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1 เอ ชาวบ้านเข้าไปทำกินตามมติครม. วันที่ 30 มิถุนายน 2546 ให้ราษฎรทำกินเป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว การให้ที่ทำกินชั่วคราวนี้เนื่องจากรัฐยังไม่มีพื้นที่จัดสรรให้จึงให้ราษฎรใช้ทำกินไปก่อน แต่ได้มีการควบคุมภายใต้บริบทห้ามเปลี่ยนมือ และห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพการทำประโยชน์จากเดิม การทำประโยชน์ในบริเวณดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อกำหนด เพื่ออนุรรักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม


แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบว่า มีการเปลี่ยนมือ และใช้พื้นที่ผิดวัตถุประสงค์ มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเพิ่มเติม การครอบครองต้องทำกินด้วยตนเอง เพราะเป็นพื้นที่ที่ใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาราษฎรไม่มีที่ทำกิน ซึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี ได้มีการลงบันทึกข้อเท็จจริงในครั้งแรก ซึ่งมีการยอมรับว่ามีการซื้อขายเปลี่ยนมือจริง แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบอีกครั้ง ราษฎรในพื้นที่ไม่มีการซื้อขายแต่เป็นการร่วมกันทำกินในพื้นที่

ในเรื่องนี้จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใช้ข้อมูลการบันทึกข้อเท็จจริงครั้งแรกที่เข้าดำเนินการประกอบสำนวนเพื่อยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี ส่วนคำสั่งของ คสช.ที่ 6/2562ให้ผ่อนผันผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่ไม่ได้รับอนุญาต สามารถยื่นขออนุญาตภายหลังได้ แต่ในพื้นที่ป่าสงวนซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1 เอ มติคสช.6/2562 ไม่ครอบคลุม เนื่องจากเป็นการใช้กับอาคารสถานที่ที่มีอยู่ก่อนคำสั่งออกมาบังคับใช้ และในคำสั่งยังได้ระบุข้อกำหนดไว้ว่า ต้องเป็นไปตามการบริหารจัดการพื้นที่ของหน่วยงานด้วย


ดังนั้นพื้นที่บริเวณป่าแม่ริม เป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1เอ เป็นพื้นที่หวงห้ามไว้สำหรับเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร แม้มีคำสั่งครม.ออกมาเพื่อระงับยับยั้งการดำเนินคดีไว้เพียงชั่วคราว โดยกำหนดว่าจะต้องไม่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือ หรือบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติม แต่การดำรงชีพต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิม คือเพื่อการดำรงชีพ ที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม


การที่ราษฎรนำพื้นที่ดังกล่าวไปก่อสร้างเป็นรีสอร์ท มีนักท่องเที่ยวเข้าไปพักเป็นจำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคือมีขยะมูลฝอยเพิ่ม มีสิ่งปฏิกูลเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจไหลลงสู่แม่น้ำปิง ถือเป็นการสร้างผลกระทบให้เกิดกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการตีความหมาย การคุ้มครองต้องตีความหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ

หลังจากที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องรีสอร์ทบนดอยม่อนแจ่ม ทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สั่งการให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) ประสานกับพนักงานสอบสวนอย่างใกล้ชิด โดยได้ประชุมร่วมกับฝ่ายกฎหมายเห็นว่ามีข้อโต้แย้งอีกหลายข้อ มีข้อกฎหมายที่สามารถนำมาโต้แย้งได้ เนื่องจากในช่วงที่ลงพื้นที่ป่าแม่ริม มีราษฎรที่ทำผิดจำนวน 113 ราย แต่ได้สอบสวนพบผู้กระทำผิดชัดเจน ซึ่งยื่นดำเนินคดีต่อศาลจำนวน 33 คดี ส่วนที่เหลือให้จัดทำแผนแม่บทกำหนดพื้นที่ให้ราษฎรได้อยู่ทำกินอย่างปกติสุข


ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานกับพนักงานสอบสวน โดยขอเข้าไปร่วมเป็นคณะทำงานกับพนักงานสอบสวน และมีการประชุมร่วมกับคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจน ต้องมีการวินิจฉัยข้อกฎหมายให้มีความละเอียดมากขึ้น เพื่อเตรียมจัดทำหนังสือความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการจังหวัดเชียงใหม่ ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดต่อไป