'หยุดภาวะสมองไหล'ปัญหาท้าทายบ.ไอทีอินเดีย

'หยุดภาวะสมองไหล'ปัญหาท้าทายบ.ไอทีอินเดีย

บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอินเดียอย่างอินโฟซิสและไวโปรกำลังเจอปัญหาต้นทุนบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพราะบุคคลากรกลุ่มนี้ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานโลก

“อาร์กา แบ็กชิ” ซึ่งอยู่ที่เมืองเบงกาลูรู หรือเมืองบังกาลอร์ ทำงานที่บริษัทไอทีชั้นนำแห่งหนึ่ง เตรียมย้ายไปอยู่บริษัทขนาดเล็กกว่าที่เสนอเงินเดือนให้เขาสูงขึ้น และหลังจากเขายื่นหนังสือลาออก บริษัทที่เขาสังกัดก็เสนอตำแหน่งงานในต่างประเทศให้เขาแต่เขาปฏิเสธ

“บริษัทที่ผมทำงานอยู่ไม่ได้ตั้งใจขึ้นเงินเดือนให้ผมตามที่ผมควรจะได้รับ เมื่อบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าเสนอเงินเดือนให้ผมเพิ่มขึ้น ผมจึงรับไว้ และผมก็มองเห็นโอกาสที่จะเติบโตในองค์กรใหม่”แบ็กชิ กล่าว

ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำ4แห่งของอินเดียโดยถ้วนหน้ากันทั้ง ทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส ,อินโฟซิส,เอชซีแอล เทคโนโลยี และบริษัทไวโปร ซึ่งอัตราการลาออกจากงานของพนักงานอยู่ระหว่าง 7.2% ถึง15.2% ในช่วงปลายเดือนมี.ค.

ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.อัตราการลาออกจากงานของพนักงานบริษัทอินโฟซิสเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จาก 10.0% ในช่วงสามเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่ไวโปร มีอัตราการลาออกอยู่ที่ 12.1% ในจำนวนพนักงานที่มีอยู่ 197,712 คน ส่วนอินโฟซิสมีพนักงานมากกว่าคือมีจำนวน 259,619 คนนับจนถึงเดือนมี.ค.ขณะที่บริษัทเอชซีแอล และทีซีเอส ยังคงรักษาอัตราการลาออกของพนักงานไว้ที่เลขตัวเดียวคือ 9.9% และ 7.2% ตามลำดับ

“อัตราการลาออกของพนักงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่สะท้อนถึงความต้องการแรงงานมีทักษะที่เพิ่มขึ้น แต่เรายังคงมั่นใจเกี่ยวกับข้อริเริ่มต่างๆที่เราทำกับพนักงานของเราว่าจะได้ผล ช่วยให้พวกเขาอยู่กับองค์กรต่อไป ซึ่งข้อริเริ่มที่ว่าครอบคลุมถึงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของพนักงานเพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งพนักงานให้สูงขึ้นจะเป็นไปด้วยความราบรื่น ไร้รอยต่อของการขึ้นไปเป็นเจ้าหน้าที่บริหาร”ปราวิน ราโอ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ(ซีโอโอ)ของอินโฟซิส กล่าวในการประชุมออนไลน์เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา

ขณะที่บริษัทต่างๆปรับเปลี่ยนนโยบายให้พนักงานไปเน้นการทำงานทางออนไลน์เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 บรรดาบริษัทไอทีอินเดียได้อานิสงส์ ทำให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และตอนนี้ บริษัทไอทีอินเดียก็คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลที่บริษัทดำเนินการมาและมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ภายในสองปีจากเดิมที่คาดว่าจะต้องใช้เวลา3-5ปีจึงเสร็จสมบูรณ์

ไวโปร ระบุในแถลงการณ์รายได้ของบริษัทเมื่อเดือนที่แล้ว โดยคาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจการให้บริการด้านไอทีจะขยายตัวระหว่าง 2-4% เป็น 2,195 ล้านดอลลาร์ถึง 2,238 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการเติบโตของธุรกิจนี้ทำให้บริษัทต่างๆว่าจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นและจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อดึงพนักงานที่มีความสามารถไว้กับบริษัท

ต้นเดือนที่ผ่านมา ทีซีเอส เปิดเผยว่า ได้ประกาศเพิ่มเงินเดือนพนักงานเมื่อวันที่ 1 เม.ย. เป็นการขึ้นเงินเดือนครั้งที่ 2 ในรอบ6เดือนส่วนอินโฟซิส ประกาศในเดือนต.ค.ว่าตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานและปรับเงินเดือนขึ้นและเริ่มให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นไป

บริษัททั้ง4แห่งรายงานผลประกอบการเพิ่มขึ้น เริ่มจากผู้นำตลาดอย่างบริษัททีซีเอส มีรายได้สุทธิในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.26% เป็น325,620 ล้านรูปี( 4,300 ล้านดอลลาร์ )อานิสงส์จากผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่แล้ว ส่วนรายได้ตลอดทั้งปีขยายตัว 3.72% เป็น 1.67 ล้านล้านรูปีจากปีก่อนหน้า

เอชซีแอล เทค รายงานรายได้สุทธิขยายตัว 17.6% เป็น 130,110 ล้านรูปี รายได้เพิ่มขึ้น 6.7% ส่วนไวโปร ระบุว่า กำไรสุทธิตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้น 14.6% เป็น 107,900 ล้านรูปี ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 1.5% เป็น 619,400 ล้านรูปี อินโฟซิส รายงานรายได้เพิ่ม 10.66 % เป็นจำนวนเงินกว่า1 ล้านล้านรูปีเมื่อเทียบกับปีก่อน และรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 16.73% เป็น 193,510 ล้านรูปี

แต่ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ปรับตัวลง เริ่มจากหุ้นบริษัททีซีเอส ร่วงลงประมาณ 4% ในวันที่บริษัทเปิดเผยรายได้กลางเดือนเม.ย.และร่วงลงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ประมาณ 10% ส่วนราคาหุ้นอินโฟซิสและเอชซีแอลก็ร่วงลงเช่นกันหลังจากบริษัทรายงานผลประกอบการล่าสุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับต้นทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัทชั้นนำไอทีอินเดียที่เพิ่มขึ้น