ส่งออก-ลงทุน ความหวังเศรษฐกิจไทย

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ลดลงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าจีดีพีไทยในไตรมาสแรกติดลบ 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไตรมาส 1 ปี ที่แล้วยังมีช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติจึงทำให้ฐานของปีที่แล้วสูง ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีนี้ อยู่ในภาวะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโรคโควิด-19 ในปีที่แล้ว และเจอผลกระทบจากการระบาดระลอกที่ 2 เกือบตลอดทั้งไตรมาส

แน่นอนว่าการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักที่สุด เมื่อดูข้อมูลไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวหดตัวลง 51% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว หรือมีรายได้เพียง 93,000 ล้านบาท และถ้าดูอัตราการเข้าพักยิ่งน่าตกใจเหลืออยู่เพียง 16.1% จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวต่างเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อรักษาระดับการจ้างงานไว้ และผู้ประกอบการรายใดที่ประคองธุรกิจอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันได้ถือว่าเก่งมาก

ในขณะที่การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ มีอัตราการขยายตัว 2.27% ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลายประเทศจึงทำให้มีความต้องการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคเพิ่มมากขึ้น เมื่อตัวเลขที่ออกมาดีทำให้หลายฝ่ายต่างยกประเด็นการส่งออกของไทยให้เป็นความหวังที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 แน่นอนว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการส่งออกจะต้องเร่งทำงานเต็มที่เพื่อโปรโมทสินค้าไทยให้มีโอกาสขยายตัวได้มากที่สุด

ส่วนการลงทุนในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ออกมาดีจนการลงทุนรวมขยายตัว 7.3% โดยเฉพาะการลงทุนในภาคเอกชนกลับมาบวกอีกครั้งในรอบ 5 ไตรมาส ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัว 19.6% เป็นผลมาจากการเร่งการลงทุนภาครัฐและเร่งการเบิกจ่ายภาครัฐในปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนภาครัฐขยายตัวดีมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แน่นอนว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการลงทุนจะต้องเร่งทำงานเต็มที่เพื่อโปรโมทการทุนทุนให้มีโอกาสขยายตัวได้มากที่สุด

การส่งออกอยู่ในการบริหารจัดการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ในขณะที่การลงทุนอยู่ในการดูแลของนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งในจังหวะที่หลายประเทศกำลังเข้าสู่โหมดการฟื้นตัว ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันถึงแม้สถานการณ์ในปัจจุบันยังคุกรุ่นด้วยโควิด-19 แต่ก็ต้องวางแผนเดินหน้าเพราะหลายประเทศไม่ได้อยู่ในขั้นรุนแรงเหมือนประเทศไทยขณะนี้