CPNไตรมาส1/64กำไรหด16%อยู่ที่3.8พันล้าน -บอร์ดไฟเขียวร่วมทุนCHKL25%

CPNไตรมาส1/64กำไรหด16%อยู่ที่3.8พันล้าน -บอร์ดไฟเขียวร่วมทุนCHKL25%

CPN ไตรมาส1/64 กำไรสุทธิ 3.83 พันล้าน ลดลง16.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเหตุได้รับผลกระทบจากโควิด-19ระบาด ขณะบอร์ดไฟเขียวร่วมทุนในCHKL 25% เพื่อเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม มูลค่า1.3หมื่นล้าน คาดก่อสร้างเสร็จปี69

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือ CPNแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส1ปี 2564 ว่า มีกำไรสุทธิ 3,834.65 ล้านบาท ลดลง16.5%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ4,591.99ล้านบาท โดยมีรายได้รวม9,528 ล้านบาท ลดลง 16.6% หากไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นประจำและผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงิน บริษัทฯ มีรายได้รวม6,648 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ1,193 ล้านบาท โดยหลักรายได้ค่าเช่าและบริการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดระลอกที่2ของโควิด-19 ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายการบริการการอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึนต่อผลการดำเนินงานให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม


ทั้งนี้ในช่วงปลายปี 2563 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่สองโดยได้ปิดศูนย์การค้าชั่วคราในพื้นที่เสี่่ยง 4 แห่ง เป็นระยะเวลาระหว่าง 7-30 วันแล้วแต่พื้นที่ตามประกาศของภาครัฐโดยยังคงเปิดให้บริการในส่วนที่จำเป็นแก่ลูกค้าซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญในการดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการรักษาความสะอาดและความปลอดภัยของลูกค้าและผู้มาใช้บริการภายในศูนย์อย่างเข้มงวด ปัจจุบันบริษัท บริหารจัดการศูนย์การค้ำทั้งสิ้น 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) รวมถึงมีอัตราการเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าในประเทศเฉลี่ย ณ สิ้น ไตรมาส 1 ปี 2564 เท่ากับร้อยละ 91


สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2564

บริษัทได้เตรียมแผนธุรกิจประจำปี 2564 ซงึ่ อยู่บนพื้นฐานของการประมาณการที่ยังมีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของCOVID-19 ในรอบปัจจุบันอยู่ โดยบริษัทฯ มีกำรติดตำมแผลการดำเนินงานในแต่ละไตรมาสอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับตามสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา โดยหากสามารถควบคุมสถานการณ์COVID-19 ได้ในที่สุด บริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของรายได้ค่อนข้างรวดเร็วและแข็งแกร่งเหมือนกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563


สำหรับแผนธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า
บริษัได้ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี(ปี 2564-2568) โดยจะรักษาอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีให้ใกล้เคียงกับแผนเดิมที่ตั้งไว้ประมาณร้อยละ 10 จากการพัฒนาโครงการอสัหาริมทรัพย์แบบผสม แห่งใหม่รวมถึงรวมถึงการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่าและการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยโครงการโรงแรมและอาคารสำนักงานทั้งที่ประกาศแผนการพัฒนาแล้วและส่วนที่ยังไม่ได้ประกาศ และได้เตรียมความพร้อมด้านฐานะการเงินรักษากระแสเงินสดและสภาพคล้องให้เพียงพอต่อการรองรับการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัทอนุมัติร่วมลงทุนในบริษัท เซ็นทรัล แอนด์ ฮ่องกงแลนด์ จำกัด ( CHKL) โดยมีสัดส่วนได้เสียการลงทุนสุทธิในโครงการร้อยละ 25
ด้วยการเข้าร่วมลงทุนผ่าน CE Holding (บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัทห้างเซ็นทรัลดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด ("HCDS") ในสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 49 และ 51 ตามลำดับ)ซึ่งจะทำให้การถือหุ้นใน CHKL มีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง บริษัทฯ HCDS และ HKL (Thai Development)
เป็นร้อยละ 25:26:49 ตามลำดับ


สำหรับการร่วมลงทุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมซึ่งประกอบด้วยโครงการศูนย์การค้าจำนวน 1 อาคาร สูง 8 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 70,000 ตารางเมตรและโครงการอาคารสำนักงานจำนวน 2 อาคาร สูง 36 ชั้น พื้นที่รวมประมาณ 140,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าการลงทุนในส่วนของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 13,873ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 5 ปี และจะแล้วเสร็จภายในปี 2569

อนึ่ง2561 บริษัท เซ็นทรัล แอนด์ ฮ่องกงแลนด์ จำกัด ("CHKL") ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ซีอี โฮลดิ้ง จำกัด ("CE Holding") (บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล) และบริษัท เอชเคแอล (ไทย ดีเวลลอปเม้นท์)จำกัด ("HKL (Thai Development)") (บริษัทในกลุ่มฮ่องกงแลนด์) ในสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51 และ 49ตามลำดับ ได้เข้าซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษ ตั้งอยู่ระหว่างถนนวิทยุและซอยสมคิด กรุงเทพมหานครจำนวนเนื้อที่ดินรวมประมาณ 23 ไร่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมนั้น
ต่อมา บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") เห็นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีศักยภาพจึงได้จัดตั้งบริษัท ซีพีเอ็น แอนด์ เอชเคแอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และ HKL (ThaiDevelopment) เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมบนที่ดินแปลงดังกล่าว