'มอร์นิ่งสตาร์' ชี้ 'กองทุนน้ำมัน' ผลตอบแทนพุ่ง 32.9% แต่ยังเสี่ยงสูง

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลตอบแทนกองทุนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 พบว่า “กองทุนน้ำมัน” มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 32.86% สูงสุดในอุตสาหกรรม และหากมองระยะ 1 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 98.8% โดยกองทุนไทยมีการลงทุนผ่านกองทุนอีทีเอฟ คือ คือ Invesco DB Oil (DBO) และ United States Oil (USO) ที่มีผลตอบแทนรอบ 1 ปี ที่สูงกว่า 100% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันแม้ว่ากองทุนจะลงทุนผ่านสัญญาฟิวเจอร์น้ำมันดิบที่ต่างกันไปก็ตาม ซึ่งหากย้อนไปในปี 2563 กองทุนน้ำมันเป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่ำที่สุดที่ 35%

ขณะที่ กองทุนทองคำ มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -5.1%ต่ำสุดในอุตสาหกรรม และหากมองระยะ 1 ปีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 0.56%และย้อนไปในปี 2563 อยู่ที่22.37%  เนื่องจากราคาทองคำในปีนี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์มาตั้งแต่ต้นปีลดลงมาที่ระดับ 1,700 ดอลลาร์ ซึ่งภาพที่แตกต่างกับปี 2563 ที่ราคาทองคำมีการดีดตัวขึ้นไปที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 แต่ในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมานี้ถือว่า ทิศทางราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจากผลตอบแทนเฉลี่ยที่4.5%

นางสาวชญานี กล่าวว่า หากมองในแง่ของความเสี่ยงจะพบว่ากองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ประเภทนี้มีความเสี่ยงที่ต่างกันค่อนข้างมาก ผลตอบแทนจากราคาน้ำมัน (12-month rolling return) โดยใช้กองทุนอีทีเอฟทั้ง 2 กองที่ได้กล่าวไปในช่วงต้น ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเคยติดลบระดับ 40% ในช่วงปี 2558และเคยติดลบมากที่สุดในปีที่แล้ว ขณะที่ผลตอบแทนกองทุนอีทีเอฟทองคำ SPDR® Gold Shares เคยติดลบมากสุดที่เกือบ 30% สะท้อนให้เห็นว่ากองทุนน้ำมันอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก ในขณะที่ทองคำอาจยังเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยกว่า 

ประกอบกับหลังมีเงินเฟ้อสหรัฐเร่งตัวขึ้นละบอนด์ยิลด์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์เป็นจุดต้องระวังที่มีผลต่อแนวโน้มผลตอบแทนในระยะข้างหน้า ดังนั้นแนะนักลงทุนเข้าลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้มากหรือน้อย หากมีการจัดสัดส่วนได้อย่างเหมาะสมแล้วกองทุนทองคำอาจเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนได้ในช่วงที่ตลาดการลงทุนผันผวนผิดปกติ