GULFไตรมาส1/64 กำไร1.63พันล้าน เหตุรายได้โต -รับเงินปันผลINTUCH กว่า600ล.

GULFไตรมาส1/64 กำไร1.63พันล้าน เหตุรายได้โต -รับเงินปันผลINTUCH กว่า600ล.

GULF ไตรมาส1/64พลิกกำไร 1.63 พันล้าน จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุน 413 ล้าน เหตุ รายได้เพิ่ม รับรู้รายได้ปันผล INTUCH 683 ล้าน รวมถึงรับรู้กำไรโครงการต่างๆเพิ่มขึ้น คาดสิ้นปี นี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม7,903 เมกะวัตต์

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส1ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,632.16 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 495.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน413.25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 30.8% อยู่ที่ 9,990 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 7,639 ล้านบาทเนื่องจากจากการรับรู้รายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่เยอรมนี จำนวน 1,629 ล้านบาท และรายได้เงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 683 ล้านบาท

รวมถึงบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 2,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,465 ล้านบาท หรือคิดเป็น 158% จากไตรมาส 1 ปี 2563 โดยสาเหตุหลักมาจากรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 683 ล้านบาท, รับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี จำนวน 400 ล้านบาทตามสัดส่วนการถือหุ้น 50%,รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด (PTT NGD) จำนวน 52 ล้านบาทจากการที่ GULF เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 40% ในเดือนธ.ค. 2563 และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP เนื่องจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังรับรู้กำไรเต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) เทียบกับปีก่อนที่รับรู้เพียง 1 เดือน นับจากวันเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มี.ค. 2563

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2563 Core Profit ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 1,150 ล้านบาท หรือคิดเป็น 93% เนื่องมาจากรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2564 ปริมาณการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์

อย่างไรก็ตามบริษัทมีจากการบันทึกผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงที่ลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Unrealized Loss) ของการแปลงค่าเงินกู้ยืมสกุลดอลลาร์สหรัฐ โดยรายการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของบริษัทฯ แต่อย่างใด

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 256,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% หรือ 10,865 ล้านบาทจากสิ้นปี 2563 เนื่องจากการลงทุนเพิ่มในหุ้น INTUCH, หนี้สินรวม 176,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% หรือ 2,994 ล้านบาทจากการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) และ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD), และส่วนของผู้ถือหุ้น 79,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากสิ้นปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการตีมูลค่ายุติธรรมที่เพิ่มขึ้นของสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.60 เท่า

สำหรับปี 2564 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้าที่จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยหน่วยที่ 1 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 และหน่วยที่ 2 มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2564, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าระหว่างไตรมาส 2-3 ปีนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน (DIPWP) จำนวน 326 เมกะวัตต์ ระยะที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 7,903 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564