‘ม.112’ เงื่อนไขค้ำคอ ม็อบ 3 นิ้ว ‘ปรับแนวรบ’

‘ม.112’ เงื่อนไขค้ำคอ  ม็อบ 3 นิ้ว ‘ปรับแนวรบ’

คดีความต่างๆ ของบรรดาแกนนำม็อบ3นิ้ว โดยเฉพาะมาตรา 112 ที่กำลังค้ำคอ  ตรงนี้เองที่อาจเป็นโจทย์ใหญ่ของ ในการปรับยุทธวิธี รวมถึงแนวรบหลังจากนี้  

“จะไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล จะเดินทางมาศาลทุกนัด” 

ส่วนหนึ่งในคำแถลงต่อศาลของบรรดาแกนนำกลุ่มราษฎรในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ระบุในทำนองเดียวกัน ถึงเงื่อนไขสำคัญในการปล่อยตัวชั่วคราวในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา(ป.อาญา) มาตรา 112

หลังการปล่อยตัวชั่วคราวบรรดาแกนนำ ม็อบ 3 นิ้ว ไม่ว่าจะเป็น สมยศ พฤกษาเกษมสุข จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ยังเหลือในส่วนของภาณุพงศ์ จาดนอก ที่อยู่ระหว่างรอผลตรวจโควิด-19 และอานนท์ นำภา ที่อยู่ระหว่างรักษาโควิด-19 ที่ยื่นคำร้องภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน

มีการจับตาไปที่ทิศทางการปรับแนวรบ และทิศทางขับเคลื่อนของม็อบ 3 นิ้วหลังจากนี้ ภายใต้คดีความที่ติดตัวของบรรดาแกนนำ

โดยเฉพาะท่าทีจาก “เพนกวิน” ที่โพสต์เฟซบุ๊คหัวข้อสาส์นแรกแห่งอิสรภาพ” ทันทีที่ได้รับการประกันตัววันแรก ขอเข้าร่วมทุกกิจกรรมหลังจากนี้

“ดังนั้นแล้ว สำหรับผม การต่อสู้เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จะดำเนินต่อไป” ข้อความตอนหนึ่งที่เพนกวินประกาศ 

อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตาหนีไม่พ้น อีเวนท์ปลุกกระแส “ยกเลิก ม.112” ที่ถูกพับไปก่อนหน้านี้ หลังจากมีความพยายามจากแนวร่วมอย่าง คณะก้าวหน้า” และ “พรรคก้าว” ในการโหนกระแสม็อบที่กำลังเคลื่อนไหวดุเดือด ณ เวลานั้น ในการเสนอแก้ไขกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก 5 ฉบับ

โดยจำนวนนี้มีการเสนอแก้ไข ป.อาญา มาตรา 112 มีเนื้อหาสำคัญคือ “ยกเว้นความผิดและการยกเว้นโทษต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์”

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ติชมหรือแสดงความเห็นโดยสุจริต และเป็นประโยชน์สาธารณะ จะไม่ถือว่าเป็นความผิด และหากบุคคลใดถูกตั้งความผิดในลักษณะนี้และพิสูจน์ได้ว่า เรื่องที่พูดนั้นเป็นความจริงไม่ต้องรับโทษ พร้อมทั้งตัดโทษจำคุกออก เหลือเพียงโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท

ก่อนที่ต่อมากลุ่มงานพระราชบัญญัติและญัตติ 1 สำนักการประชุม สภาผู้แทนราษฎร จะตอบกลับไปยังพรรคก้าวไกลว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่ระบุว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” ส่งผลให้อีเวนท์ดังกล่าวต้องถูกพับไปโดยปริยาย 

ล่าสุดพรรคก้าวไกลยังคงพยายามในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)แก้ ป.อาญา หรือกฎหมายเอาผิดกับเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม กรณีที่บิดเบือนกฎหมาย ยึดโมเดลประมวลกฎหมายอาญาของประเทศเยอรมนี

ใจความสำคัญคือ เพิ่มมาตรา 200/1 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนกระทำการเป็นการบิดเบือนกฎหมายในการสอบสวนและการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีด้วยการทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง

หรือไม่ฟ้องคดีหรือทำความเห็นในคดีอย่างอื่นอันมีผลกระทบต่อการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง คดีไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรือผู้ต้องหาต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี

ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการกระทำการบิดเบือนกฎหมายในการพิจารณาคดี การทำคำสั่งรับหรือไม่รับฟ้อง คำสั่งพิพากษาหรือชี้ขาดตัดสินคดี หรือการทำคำสั่งคำร้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์หรือความเสียหายแก่ผู้เสียหายผู้ต้องหา

หรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 3-20 ปี 

เหตผลทั้งหมดทั้งมวลจึงถืเป็นจังหวะก้าวย่างที่ต้องจับตา เมื่อการเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำ ตามมาด้วยคดีความต่างๆ โดยเฉพาะมาตรา 112 ที่กำลังเป็นเงื่อนไขค้ำคอ  ตรงนี้เองที่อาจเป็นโจทย์ใหญ่ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” ในการปรับยุทธวิธี รวมถึงแนวรบหลังจากนี้  

ภายใต้ “3 ข้อเรียกร้อง” ที่ฝั่งม็อบย้ำนักย้ำหนา ไม่ว่าจะเป็น “การแก้รัฐธรรมนูญ-นายกฯลาออก-ปฏิรูปสถาบันฯ”