'ACT' ชี้นักการเมืองยังแสวงหาประโยชน์จากวิกฤติโควิด แนะเร่งสร้างกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง

'ACT' ชี้นักการเมืองยังแสวงหาประโยชน์จากวิกฤติโควิด แนะเร่งสร้างกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง

เลขาธิการองค์การต่อต้ายคอร์รัปชั่นฯเผยนักการเมืองบางกลุ่ม บางคน ยังแสวงหาผลประโยชน์ในช่วงเกิดวิกฤติโควิดชี้เข้าข่ายคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายชัดเจน หนุนสร้างกลไกตรวจสอบทั้งกฎหมาย -มาตรการทางสังคม เสริมความเข้มแข็งองค์กรอิสระ เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคม

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ "ACT" กล่าวว่า การว่าคอร์รัปชันทางการเมืองกับผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กันซึ่งตามนิยามของ รศ. ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ กรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ เคยกล่าวไว้ว่าเป็นคอร์รัปชันที่เลวร้ายที่สุดในบรรดาคอร์รัปชันทุกประเภท เพราะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดคอร์รัปชันอื่นๆ ตามมาอีกมาก

ทั้งนี้พบว่าในภาวะปัจจุบันที่บ้านเมืองกำลังเผชิญโรคร้าย ประชาชนเดือดร้อนสาหัสอย่างนี้ยังพบว่ามีนักการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ต่างจากการกอบโกยผลประโยชน์ในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ตามที่พบเป็นข่าวว่า เช่น ขณะที่โรงพยาบาลยังขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก แต่นักการเมืองกลับแข่งกันนำออกมาเดินแจกจ่ายตามท้องถนน หรือเปิดขายราคาถูกแล้วถ่ายรูปทำข่าวครึกโครม ก่อนที่จะเลิกไปเพราะหมอและพยาบาลออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากสาธารณชน

อีกกรณีคือเมื่อมีการระดมฉีดวัคซีนโควิดแก่ประชาชนในพื้นที่แพร่ระบาด กลับมีข่าวว่าหัวคะแนนและเส้นสายนักการเมืองในพื้นที่ได้คิวฉีดก่อนชาวบ้าน เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งสิ้น

 “เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป อำนาจไม่แน่นอนยิ่งในช่วงใกล้เลือกตั้ง ใครมีโอกาสต้องรีบทำรีบตักตวง” เพราะคิดกันอย่างนี้คอร์รัปชันโดยนักการเมืองจึงเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ แต่ในยามบ้านเมืองใครวิกฤติจะทำอะไรที่เป็นการซ้ำเติมขอให้ยั้งคิดกันบ้าง"นายมานะกล่าว 

นายมานะกล่าวว่าแม้จะรู้กันดีว่า พฤติกรรมเหล่านี้คือการฉกฉวยผลประโยชน์จากสถานการณ์และโอกาส แต่นักการเมืองไม่กลัวเพราะยังไม่มีกฎหมายเอาผิดได้ตรงๆ แม้แต่เรื่องจริยธรรมและผลประโยชน์ทับซ้อนก็พิสูจน์เจตนาและความเสียหายได้ยาก

การป้องกันอย่างแรกที่ควรทำคือ สร้างกติกาที่ชัดเจนว่าการกระทำใดเป็นความผิดโดยออก พ.ร.บ. การขัดกันแห่งผลประโยชน์ฯ และ พ.ร.บ.การโฆษณาประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ เข้มงวดเรื่องการเปิดเผยข้อมูล การประเมินความคุ้มค่าของโครงการ เป็นต้น

อย่างที่สองคือ สร้างการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งขององค์กรอิสระ

แต่แนวทางที่เชื่อว่านักการเมืองกลัวมากที่สุดคือ สร้างวัฒนธรรมการตรวจสอบจากสื่อมวลชนและสังคมที่คอยจับตาด่าประนามเรื่องไม่ชอบมาพากลรวมถึงแสดงความคาดหวังที่เป็นบันทัดฐานสังคม หรือที่เรียกว่า “โซเชี่ยลแซงชัน”

สำหรับความหมายของการ“คอร์รัปชันทางการเมือง” (Political Corruption) นายมานะอธิบายเพิ่มเติมว่าหมายถึง พฤติกรรมของนักการเมืองที่ใช้ “อำนาจทางการเมือง” อย่างบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกพ้อง โดยมากเป็นการมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น เพื่อให้ได้คะแนนนิยม ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือเพื่อให้ได้เปรียบคู่แข่งขันทางการเมือง

การใช้อำนาจทางการเมือง อาจหมายถึงอำนาจในการบริหารจัดการ กำหนดนโยบาย นิติบัญญัติ รวมถึงอิทธิพลต่อผู้อื่น

พฤติกรรมเหล่านี้ในช่วงใกล้เลือกตั้งจะพบบ่อยขึ้น เช่น แบ่งเขตเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ทำโครงการประชานิยมแจกจ่ายเน้นเอาใจฐานเสียง สั่งให้ข้าราชการช่วยเหลือพวกตน ใช้ทรัพยากรของหน่วยงานไปบริการประชาชนอย่างผิดวิสัย เช่น ให้บริการประชาชนโดยหน่วยงานรัฐแต่ขึ้นป้ายเชียร์ให้ชาวบ้านหลงเข้าใจว่าเป็นผลงานหรือความเสียสละของพวกตน