TTB แนะรัฐ เร่งสปีดการฉีดวัคซีน หวังลดความสูญเสียศก. 5.7 หมื่นล้าน

TTB แนะรัฐ เร่งสปีดการฉีดวัคซีน หวังลดความสูญเสียศก. 5.7 หมื่นล้าน

tbb analytics แนะรัฐ เสริมแนวทางการฉีดวัคซีนเชิงรุกกระจายสู่กลุ่มเป้าหมาย High mobility ควบคู่กลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ เร่งสปีดการฉีดเพิ่ม ช่วยลดแพร่เชื้อได้ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว ลดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจได้ 5.7 หมื่นล้านบาท

     ศูนย์วิจัยทหารไทยธนชาต หรือ ttb analytics ชงแนวทางการกระจายวัคซีนใหม่ “ฉีดวัคซีนเชิงรุก” เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์โควิดที่ยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

       แม้เริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงขณะนี้ในเบื้องต้นมีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 1.2 ล้านคน หรือร้อยละ 1.8 ของประชากร ซึ่งหลักๆเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่มีโอกาสติดเชื้อ

      อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้อยู่ในพื้นที่แพร่ระบาดสูง เช่น คลัสเตอร์ตามชุมชน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ttb มองโจทย์ท้าทายในขณะนี้คือ ทำอย่างไรให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงได้เร็ว ขณะเดียวกันสามารถทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นกลับสู่ภาวะปกติได้เร็ว ช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ

      หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้ดียิ่งขึ้นคือ แนวทางการกระจายวัคซีนเชิงรุก (Targeted Approach) แก่ประชากรที่เหมาะสม

      โดยอาศัยปัจจัยการเคลื่อนไหว (Mobility) ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละกลุ่มประชากรในประเทศ ล้วนต่างมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาชีพและช่วงอายุ จึงทำให้แต่ละกลุ่มประชากรมีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อและมีความสัมพันธ์ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป

      การประเมินรูปแบบการกระจายวัคซีนเชิงรุก โดยอาศัยเกณฑ์การเคลื่อนไหว (Mobility) สามารถแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ตามลักษณะพฤติกรรมการพบปะผู้คนและการเดินทาง ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
       1) กลุ่ม High Mobility จำนวน 20.2 ล้านคน ประกอบไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ พนักงานขาย พนักงานขนส่ง พนักงานบริการ และพนักงานโรงงาน จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อสูง เนื่องจากมีความจำเป็นต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก และเป็นกลุ่มที่มีส่วนในกิจกรรมเศรษฐกิจซึ่งหลักๆเป็นภาคการค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วนกว่า 62% ของ GDP
        2) กลุ่ม Medium Mobility จำนวน 6.9 ล้านคน เป็นกลุ่มของพนักงานออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้พนักงานส่วนหนึ่งทำงานที่บ้าน (Work from home) สามารถลดความหนาแน่นในที่ทำงานได้ จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อได้กว่าน้อยกลุ่มแรก
         3) กลุ่ม Low Mobility จำนวน 39.3 ล้านคน ได้แก่ ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงแรงงานในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อค่อนข้างต่ำ

       

         ซึ่งการแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงนำมาสู่แผนการกระจายวัคซีนใน 3 แนวทาง คือ 1.เน้นฉีดกลุ่ม Low Mobility เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแผนการกระจายวัคซีนของรัฐในบางส่วน ที่มีการเน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ

        2. เน้นฉีดกระจายทุกกลุ่ม (ปูพรม) ซึ่งเป็นแนวทางล่าสุดที่รัฐมีแนวโน้มจะปรับใช้

         3. เน้นฉีดกลุ่ม High Mobility ควบคู่ไปกับกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ โดยการกระจายการฉีดวีคซีนแบบเชิงรุกให้กับผู้ที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อสูง เช่น สถานที่ทำงาน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ตลาด ร้านค้า และงานบริการต่างๆ

หนุนฉีดวัคซีนเชิงรุก “กลุ่ม High Mobility ควบคู่ไปกับกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ” ส่งผลให้ปลดล็อคเศรษฐกิจเร็วขึ้น
        ภายใต้กรอบแผนการกระจายฉีดวัคซีน 300,000 โดสต่อวัน ผลของการวิเคราะห์ที่ประยุกต์แบบจำลองทางระบาดวิทยา (SIR) แสดงให้เห็นว่าการกระจายวัคซีน

      สามารถทำให้ยอดผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวทางการกระจายวัคซีนในแต่ละกลุ่ม

       พบว่ามีความแตกต่างของแนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อ โดยพบว่า แนวทางที่เน้นฉีดกลุ่ม Low Mobility ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงเดือนธันวาคมอยู่ที่ 3,600 คนต่อวัน

      หลังจากนั้นในไตรมาสแรกปี 2565 ถึงจะเริ่มเห็นตัวเลขลดลงอย่างชัดเจน อีกทั้งจำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสมในกลุ่ม Low Mobility ณ สิ้นปี 2564 จะอยู่ที่ 26.3 ล้านคนจากจำนวนประชากรในกลุ่มนี้ที่มีอยู่ถึง 39 ล้านคน

       และที่น่าสนใจคือการฉีดที่นำร่องด้วยกลุ่ม Low Mobility ส่งผลให้ประชากรในกลุ่ม High Mobility ที่ได้รับวัคซีนจะมีเพียง 13.9 ล้านคนเท่านั้น เทียบกับประชากรที่มีอยู่ถึง 20.3 ล้านคนในกลุ่มนี้

      ในขณะที่แนวทางเน้นฉีดแบบปูพรม พบว่า ยอดผู้ติดเชื้อ ณ ธันวาคม 2564 จะอยู่ที่ 1,600 คนต่อวัน น้อยกว่าการฉีดเน้นกลุ่ม Low Mobility ถึงกว่าร้อยละ 50

       เมื่อวิเคราะห์เพิ่มเติม พบว่าหากใช้ แนวทางเน้นฉีดวัคซีนเชิงรุก กล่าวคือ ฉีดกลุ่ม High Mobility ควบคู่กันกับกลุ่มมีความเสี่ยงสูง (รวมผู้มีโรคประจำตัว) ซึ่งเป็นแนวทางการฉีดวัคซีนของรัฐในขณะนี้ จะทำให้แนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อทยอยลดลงได้มากเช่นกัน

     โดยคาดยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 600 คนต่อวัน ในเดือนธันวาคม ทั้งนี้ การฉีดเชิงรุกดังกล่าวในภาพรวมคาดว่าจะทำให้ประชากรในแต่ละกลุ่มได้รับวัคซีนมากกว่า โดย High Mobility ที่มีอยู่ 20.3 ล้านคนได้รับวัคซีน และครอบคลุมประชากรทั้งหมดในกลุ่ม Medium Mobility 6.6 ล้านคนเช่นกันภายในสิ้นปี 2564

      นอกจากนี้ แนวทางเลือกฉีดวัคซีนในแต่ละกลุ่ม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน กล่าวคือ หากใช้แนวทางการฉีดให้กลุ่ม Low Mobility ก่อน ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวในเดือนธันวาคม 2564 และจะก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการราว 8.96 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงกว่ากลุ่มอื่น

      อย่างไรก็ดี หากใช้แนวทางฉีดเชิงรุกตาม Targeted Approach คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเริ่มฟื้นตัวเร็วขึ้นราวเดือนตุลาคม 2564 และความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการจะลดลงมาอยู่ที่ 6.46 หมื่นล้านบาท หรืออาจกล่าวได้ว่าการใช้แนวทางการฉีดเชิงรุกจะทำให้ความสูญเสียน้อยลงกว่าฉีดกลุ่ม Low Mobility ถึง 2.5 หมื่นล้านบาท

        เร่งสปีดฉีดวัคซีนวันละ 5 แสนโดส ช่วยลดยอดผู้ติดเชื้อได้มาก และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น
       หากเร่งปริมาณการฉีดวัคซีนโดยเพิ่มจาก 3 แสนโดสต่อวัน เป็น 5 แสนโดสต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของภาครัฐล่าสุดกำหนดเป้าหมายอยู่ที่ 15 ล้านโดสต่อเดือน จะทำให้แนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อลดลงในอัตราเร่ง และเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้

       โดยยอดผู้ติดเชื้อ ณ เดือนธันวาคม อยู่ที่ต่ำกว่า 100 คนต่อวัน ซึ่งส่งผลให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการอยู่ที่ 5.63 หมื่นล้านบาท

      สำหรับกรณีเลือกฉีดกลุ่ม Low mobility ก่อน ซึ่งจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในช่วงเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป แต่หากเลือกใช้การฉีดเชิงรุกแก่กลุ่ม High Mobility ควบคู่กับฉีดกลุ่มเสี่ยง ความสูญเสียจะน้อยกว่า

      โดยอยู่ที่ 3.22 หมื่นล้านบาท และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

       หากเทียบกับกรณีการเร่งฉีดวัคซีนเร็วขึ้น 5 แสนโดสต่อวัน ในกลุ่มเชิงรุก กับการฉีดตามแผน 3 แสนโดสต่อวัน ในกลุ่ม Low Mobility พบว่า จะช่วยลดความสูญเสียได้เพิ่มขึ้นถึง 5.7หมื่นล้านบาท และเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในเดือนสิงหาคม 2564

     ดังนั้น แนวทางการฉีดเชิงรุก (Targeted Approach) พร้อมทั้งเร่งสปีดการฉีด 5 แสนโดสต่อวัน จะส่งผลทำให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจลดลง และช่วยเร่งระยะเวลาการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

     ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้างต้นอยู่บนสมมุติฐานว่า มีการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 อันเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการทางสังคม ภายหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศปรับตัวลดลง ยิ่งไปกว่านั้น การฉีดวัคซีนจะดำเนินเป็นไปตามแผนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

      ซึ่งมีการวางแผนให้ครอบคลุมทั้งบุคลากรทางแพทย์ที่อยู่ในกลุ่ม High Mobility และผู้สูงอายุที่อยู่ในกลุ่ม Low Mobility ตลอดจนผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่กระจายอยู่ทั้ง 3 กลุ่มแล้ว ในช่วงเดือนมิถุนายน และในเดือนกรกฎาคม การฉีดวัคซีนจะเริ่มกระจายสู่ประชากรทั่วประเทศ

      โดยผลของการฉีดวัคซีนจะเริ่มเห็นผลต่อการควบคุมการระบาดได้ในเดือนสิงหาคม
       นอกจากนี้ การเร่งฉีดวัคซีนจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเร็วขึ้น โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน กับ Mobility โดยประเทศที่มีสัดส่วนการฉีดวัคซีนต่อประชากรยิ่งมาก Mobility จะยิ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนฉีดวัคซีน

       เช่น อิสราเอล สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนถึงกิจกรรมเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา

      โดยสรุป การควบคุมการแพร่ระบาดไม่สามารถกระทำได้จากภาคส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ต้องเป็นการร่วมมือกันในทุกภาคส่วนในด้านต่างๆไปพร้อมๆกัน

      ตั้งแต่การดูแลป้องกันตัวเองลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเชิงรุก การแก้ไขดูแลปัญหาผู้ติดเชื้อตามโรงพยาบาลและสถานที่จัดไว้ รวมไปถึงการกระจายและจัดการวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและเป็นเชิงรุกให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ย่อมช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ และยังช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจให้น้อยลง

     ทำให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ภาคธุรกิจฟื้นได้เร็วขึ้น และรัฐสามารถใช้มาตการกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นฟูประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น