จับสัญญาณ 'เปิดสภาฯ' จังหวะ 'ซักฟอกงบ 65 - ถล่มโควิด'
พ.ร.ฎ.เปิดสมัยประชุมรัฐสภา ถูกตราขึ้น และกำหนดให้ 22 พฤษภาคม เป็นวันเริ่มเปิดสมัย ทันทีที่สภาฯ เปิดมีวาระหลายเรื่องที่สังคมจับจ้อง ถึงการอภิปรายของฝ่ายค้าน ที่จะสามารถสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล ช่วงขาลง หรือไม่?
เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาทแล้ว
คิวต่อไป คือการนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณา ในห้วงเปิดสมัยประชุมที่จะเริ่มตั้งแต่ 22 พฤษภาคม นี้
สำหรับการพิจารณาวาระแรกของสภาฯ คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 - 11 มิถุนายน ตามที่ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล เสนอ
และสอดคล้องกับเงื่อนไขของ “ชวน หลีกภัย" ประธานสภาฯ ที่ขอเวลาให้ ส.ส. ดูเนื้อหาก่อนพิจารณาในวาระแรกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
แน่นอนว่า เมื่อ “สภาหินอ่อน” เปิดอีกครั้ง ย่อมเป็นทีของ “พรรคฝ่ายค้าน” ที่ได้โอกาสเดินเกมการเมือง “สู้” กับ “รัฐบาล” แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และยิ่งเปิดเกมด้วยร่าง พ.ร.บ.งบฯ ด้วยแล้ว ยิ่งง่ายต่อการหาประเด็น เพื่อ “ดิสเครดิต” รัฐบาล
เรื่องที่คาดว่าจะหยิบยกมาเล่นงานรัฐบาล เชื่อแน่ว่าหนีไม่พ้นการแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ฐานะ ผอ.ศบค. ที่ผูกพันกับการใช้งบประมาณ รอบปี 2564
พ่วงกับการใช้ "งบเงินกู้” โดยเฉพาะส่วนของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่แบ่งเป็น
จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อการสาธารณสุข เช่น จ่ายค่าตอบแทน เตรียมพร้อมด้านวัคซีน สถานพยาบาล รองรับเหตุระบาดไวรัสระลอกใหม่
จำนวน 5.55 หมื่นล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
และ จำนวน 4 หมื่นล้านบาท เพื่อฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการบริโภค รวมถึงฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน
แม้เงินกู้เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 จะไม่เกี่ยวอะไรกับ เนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.งบฯ 65 แต่ในทางการเมืองแล้ว คือ ความเกี่ยวโยงที่แยกไม่ออก เพราะเงินที่จะใช้ในปีงบประมาณต่อไป ต้องลงทุนกับการแก้ปัญหาโรคระบาดร้ายแรงที่ส่งผลกระเทือนทั้งสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายค้านเตรียมไว้เป็นข้อมูล ภายใต้การตรวจสอบและติดตามงบประมาณในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “ไชยา พรหมา” ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกมธ.ฯ
พบว่า สิ่งสำคัญคือ การเบิกจ่ายงบที่ล่าช้า
ล่าสุด มีตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยตัวเลขของเงินกู้ส่วนสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท พบว่ามีตัวเลขเบิกจ่าย เพียง 7,102 ล้านบาท จากวงเงินที่ผ่านการอนุมัติรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ส่วนใหญ่คือค่าตอบแทน อสม. รอบตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564
ขณะที่แผนงานที่สำคัญที่สุดต่อการแก้ปัญหาระบาดโควิด-19 เช่น เตรียมพร้อมสถานพยาบาล พัฒนาน้ำยาเพื่อตรวจโรค จัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จัดสร้างห้องความดันลบให้กับสถานพยาบาล ปรับปรุงห้องผู้ป่วย ล้วนยังอยู่ในขั้นตอนจัดซื้อจัดหา
ปรากฎการณ์การใช้งบประมาณ จาก “เงินกู้” 1 รอบปี ที่กฎหมายบังคับใช้ตั้งแต่ 19 เมษายน 2563 เชื่อแน่ว่าจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ ศักยภาพของรัฐบาลต่อการแก้ปัญหาโควิด โดยเฉพาะการระบาดระลอก 3
ต่อมาคือ การใช้งบที่ไม่ถูกกาละเทศะ
ซึ่งเรื่องนี้ถูกเปิดหัวมาตั้งแต่เดือนแรกของปี 2564 คือ งบประมาณของกองทัพ ที่พบเงินเสนอขอก้อนใหญ่ "3.8 หมื่นล้านบาท” ของ 3 เหล่าทัพ เพื่อใช้ในด้านความมั่นคง จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในปี 65 ทั้งที่ยามนี้่ควรใช้เงินเพื่อช่วยประชาชนสู้กับ “ไวรัสมรณะ”
หากรายละเอียดที่จะเผยในเอกสารงบประมาณฯ ถูกขุดคุ้ยและพบงบประมาณที่ใช้ไม่ถูกที่ถูกเวลาเพิ่มเติม “ฝ่ายค้าน” จะใช้จังหวะนี้ สาวหมัดใส่ “รัฐบาล” แบบไม่ยั้ง แน่นอน
ดังนั้น “เวทีสภาฯ” เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ 65 จะมีสภาพไม่ต่างจากการ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ” เพื่อหวังผลดิสเครดิตรัฐบาล พร้อมกับปูทางไปสู่การดึงแต้มต่อให้ฝ่ายตัวเอง ในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง
แม้ผลในทางกฎหมายจะไม่มีเหตุให้ “รัฐบาล” เสียงข้างมากต้องสั่นคลอน แต่ในเกมการเมืองต้องยอมรับว่ามีผลต่อกระแสในภาวะที่ “รัฐบาล” ที่อยู่ในช่วง “ขาลง”.