ลดบาดเจ็บโควิด เร่งฉีดวัคซีน เยียวยาแรงงาน

ลดบาดเจ็บโควิด เร่งฉีดวัคซีน เยียวยาแรงงาน

ทางออกของวิกฤติโรคระบาด "โควิด-19" ในปัจจุบัน รัฐต้องให้ความสำคัญกับการทุ่มงบให้ได้มาซึ่งวัคซีนโควิด และฉีดให้คนไทยทุกคนโดยเร็ว เพื่อพยุงชีวิตและเศรษฐกิจ รวมถึงต้องไม่ลืมรัฐสวัสดิการ และการสนับสนุนเอสเอ็มอีให้กลับมาเข้มแข็งได้ต่อไป

การระบาดโควิด-19 รอบที่ 3 ยังไม่ทราบว่าจะบรรเทาลงเมื่อไร ในขณะที่ประชากรไทยเพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปเพียงราว 1.1% (ณ วันที่ 2 พ.ค.) จึงเกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินเบื้องต้นว่า การเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะลดลงถึง 1% จากที่เคยประมาณการไว้ แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

การระบาดของโควิด-19 รอบที่ 1 ของไทยเริ่มในปลายปี 2562 และต่อเนื่องไปยังปี 2563 ตลอดทั้งปี พบว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562 มีการขยายตัวที่มีความผันผวนตกต่ำกว่าปี 2561 ในทุกไตรมาส ส่งผลให้จีดีพีขยายตัวต่ำลงเหลือ 2.3% เทียบกับปี 2561

เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ตอนต้นปี 2563 แม้ความรุนแรงยังไม่มาก แต่รัฐบาลใช้มาตรการล็อกดาวน์ห้ามการเดินทางเข้าออกต่างประเทศ และมาตรการเคอร์ฟิวในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจซึ่งอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ปีที่ 2562 เริ่มได้รับผลกระทบ แม้รัฐบาลเริ่มมีมาตรการเยียวยาด้วยเงินงบประมาณตามปกติและเงินกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับธุรกิจและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเคยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่เหลือของปี 2563 แต่โชคไม่ดีที่เกิดการระบาดโควิด-19 ตามมาในรอบ 2 ช่วงปลายเดือน ธ.ค.2563 ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวต้องติดลบทุกไตรมาส ส่งผลให้การขยายตัวตลอดทั้งปี 2563 ติดลบถึง 6.1%

ผลกระทบดังกล่าว เมื่อพิจารณาเป็นรายสาขาพบว่าในภาพรวม ภาคเกษตรในปีปกติเริ่มติดลบมาตั้งแต่ปี 2562 ประมาณ 0.6% เมื่อเกิดการระบาดปี 2563 ต้องติดลบมากขึ้นทั้งปีถึง 3.4% ภาคอุตสาหกรรมมีการขยายตัวในอัตราต่ำอยู่แล้วในปี 2562 การขยายตัวทั้งปีเป็นศูนย์ และเมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องทั้งปี จึงส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมรุนแรงในทุกไตรมาสตลอดปี 2563 ติดลบไปถึง 5.9% ภาคบริการปกติยังคงขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดีตลอดปี 2562 แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้นผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ตลอดทั้งปี 2563 การขยายตัวของภาคบริการติดลบทุกไตรมาส 1.2% ถึง 12.1% และการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมสาขาบริการทั้งปีติดลบถึง 6.5%

ขณะที่ตลาดแรงงานดูเหมือนจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2563 แต่มีการระบาดของโควิด-19 ถึงสองรอบ เมื่อดูตัวเลขของการว่างงานโดยเปิดเผย (open unemployment) พบว่าในปี 2563 หลังไตรมาส 1 การว่างงานเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส 2 เท่า รวมมากกว่า 7 แสนคน การระบาดของโควิด-19 ถึง 2 รอบในปีเดียว ทำให้มีผู้มีตำแหน่งงานแต่ไม่ได้ทำงานเพิ่มขึ้นรุนแรงกว่าในสภาวะปกติเป็นอย่างมาก เช่นปี 2562 ในแต่ละไตรมาสมีคนไม่ได้ทำงานอยู่ในช่วง 0.15-0.62 ล้านคน แต่ปี 2563 เพิ่มสูงถึง 0.39-2.52 ล้านคน ขณะที่การระบาดรอบ 3 ที่รุนแรงมากที่สุดนี้ ตลาดแรงงานจะเป็นเช่นไรคงต้องติดตามต่อไป

ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ทำให้แรงงานตกงานเท่านั้น แต่บางส่วนแม้มีงานทำแต่ไม่สามารถทำงานได้ไม่เต็มที่เต็มเวลา (40 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์) จากข้อมูลสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ไตรมาส 3) พบว่ามีแรงงานไม่ได้ทำงานแต่มีงานประจำ 0.18 ล้านคน ทำงาน 1-19 ชั่วโมงมีจำนวน 1.09 ล้านคน ทำงาน 20-39 ชั่วโมง 9.42 ล้านคน รวม 10.69 ล้านคน

แรงงานประมาณ 10 ล้านคนเหล่านี้มีความเดือดร้อนแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าทำงานได้มากหรือน้อย ซึ่งพวกเขายังต้องการความช่วยเหลือทางการเงินชนิดให้เปล่าเต็มจำนวนหรือร่วมจ่าย รัฐจึงยังจำเป็นต้องเยียวยาต่อไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งแรงงานนอกระบบที่มีประมาณกว่า 20 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลมีบัญชีรายชื่ออยู่หมดแล้วอย่างน้อยคนละ 3,000 บาทต่อเดือน

เมื่อประชากรไทยได้รับวัคซีนครบ 100% แล้ว การปรับตัวของประเทศทำได้อย่างราบรื่น ความเชื่อมั่นไว้วางใจก็จะกลับมา ทั้งเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจะฟื้นตัวตามมาได้เอง โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเยียวยาด้วยเงินมหาศาลอีกต่อไป

ดังนั้น ทรัพยากรของรัฐต้องให้ความสำคัญมากที่สุดกับการได้มาซึ่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะแพงเท่าใดก็ต้องซื้อและฉีดให้คนไทยทุกคนให้ได้โดยเร็ว เราเสียเงินเป็นล้านๆ บาทมาแล้วกับมาตรการอื่นๆ จะเสียอีกแสนล้านบาทเพื่อพยุงชีวิตและเศรษฐกิจถือว่า “คุ้มค่า” และต้องไม่ลืมเรื่องรัฐสวัสดิการช่วยเหลือเยียวยาผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีภาวะพึ่งพิง ให้เขามีชีวิตอยู่ได้ตามอัตภาพได้ต่อไป รวมทั้งการสนับสนุนผู้ประกอบการ (Real Sector) โดยเฉพาะเอสเอ็มอีด้วยการหยุดเลือดที่ไหลจากผลกระทบของโควิด-19 แล้วช่วยเติมเลือดใหม่ให้พวกเขาเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และในที่สุดได้กลับเข้ามาเป็นผู้ประกอบการที่เข้มแข็งต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง