‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 97.31 จุด

‘ดาวโจนส์’ปิดบวก 97.31 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ (5พ.ค.)ปรับตัวขึ้น 97.31 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 97.31 จุด หรือ 0.3% ปิดที่ 34,230.34 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปรับตัวขึ้น 2.93 จุด หรือ 0.1% ปิดที่ 4,167.59 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 51.08 จุด หรือ 0.4% ปิดที่ 13,582.42 จุด

อย่างไรก็ดี บรรยากาศการซื้อขายยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ทั้งนี้ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐร้อนแรงเกินไป อันเป็นผลจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ แต่นางเยลเลนกล่าวชี้แจงในเวลาต่อมาว่า ตนไม่ได้คาดการณ์หรือให้คำแนะนำว่าเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่คำกล่าวก่อนหน้านี้ของนางเยลเลนส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงวานนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งนโยบายปรับขึ้นอัตราภาษีของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ด้านออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (เอดีพี) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 742,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2563 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 800,000 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ เอดีพี ยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนในเดือนมี.ค.เป็นเพิ่มขึ้น 565,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานเพิ่มขึ้น 517,000 ตำแหน่ง ภาคบริการมีการจ้างงาน 636,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ส่วนภาคการผลิตมีการจ้างงาน 106,000 ตำแหน่ง

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันศุกร์นี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,000,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 5.8%

เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 916,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2563 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 647,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 6.0% จากระดับ 6.2% ในเดือนก.พ.

ด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ไอเอสเอ็ม) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 62.7 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 63.7 ในเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 64.3

การชะลอตัวของดัชนีภาคบริการของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่ แม้ว่าการจ้างงานดีดตัวขึ้น

อย่างไรก็ดี ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 64.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2552

ก่อนหน้านี้ ดัชนีพีเอ็มไออยู่ที่ระดับ 60.4 ในเดือนมี.ค. โดยดัชนี พีเอ็มไอ ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัว

ดัชนีพีเอ็มไอได้รับปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจปรับตัวขึ้นเช่นกัน