‘เงินบาท’วันนี้เปิด‘อ่อนค่า’ที่31.18 บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’วันนี้เปิด‘อ่อนค่า’ที่31.18 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทอ่อนค่าตามความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19ในประเทศทวีความรุนแรงขึ้น พบคลัสเตอร์ใหม่หลายจุด แต่เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงตามแนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า คาดกนง.คงดอกเบี้ยที่1.5%ในสัปดาห์ และมองเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15- 31.25 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.18 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.14 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด วันศุกร์ที่ 30 เม..) 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.15 - 31.25 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาท สัปดาห์นี้ที่ระดับ 31.10 - 31.40 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ในระยะสั้น เงินบาทยังมีโอกาสเผชิญความผันผวนจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ดูมีแนวโน้มอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังมีการพบคลัสเตอร์การระบาดใหม่หลายจุด

รวมถึงแนวโน้มเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นจากความต้องการสินทรัพย์หลบความผันผวนระยะสั้น อาจทำให้โดยรวมเงินบาทอาจมีทิศทางผันผวนและอ่อนค่าลงได้มากกว่าที่จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่ตลาดการเงินโดยรวมผันผวนและอยู่ในภาวะที่ปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) จากความกังวลของตลาดว่าเฟดอาจมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด ซึ่งความกังวลดังกล่าวถูกกระตุ้นโดยถ้อยแถลงของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯและอดีตประธานเฟด นางเจนเน็ต เยลเลน ที่มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจมีความจำเป็น เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล

ทั้งนี้ ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมากที่สุด ดังจะเห็นได้จากการที่หุ้นเทคฯ -ขนาดใหญ่ อาทิ  Apple, Amazon, Tesla ต่างปรับตัวลง ซึ่งการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มเทคฯ นั้นทำให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า 1.9% ส่วนดัชนี S&P500 ย่อตัวลง 0.7% ขณะที่ ดัชนี Dowjones ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Cyclical กลับปิดบวก 0.06% นอกจากนี้ แรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังได้กดดันให้ ตลาดหุ้นยุโรปปรับฐานเช่นกัน นำโดย ดัชนี DAX30 ของเยอรมนี ที่ดิ่งลงกว่า 2.4% ทำให้โดยรวม ดัชนี STOXX50 ปิดลบ 1.9%

แม้ว่า ตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทว่า นักลงทุนกลับไม่ได้เข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากนักเนื่องจากส่วนหนึ่งก็มีความกังวลโอกาสที่เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าคาด หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ทรงตัวที่ระดับ 1.59%

อย่างไรก็ดี แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใส รวมถึงความต้องการสินทรัพย์หลบความผันผวนชั่วคราวได้หนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ91.27 จุด ขณะที่เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.202 ดอลลาร์ต่อยูโร เช่นเดียวกับเงินปอนด์ (GBP) ที่อ่อนค่าสู่ระดับ 1.389 ดอลลาร์ต่อปอนด์

ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ได้กดดันให้ ราคาทองคำย่อตัวลง สู่ระดับ 1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ อาทิ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และราคาน้ำมันดิบ WTI ต่างปรับตัวขึ้น ไม่น้อยกว่า 2.5% สะท้อนภาพความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 8 แสนราย และเป็นสัญญาณสะท้อนว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม(Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ จะออกมาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 8 แสนรายเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดยังมองว่า การทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการบริการ สะท้อนผ่าน การปรับตัวขึ้นของดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Non-Manufacturing PMI) เดือนเมษายน สู่ระดับ 64.3 จุด

ส่วนในฝั่งไทย ตลาดจะรอจับตาการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ที่คาดว่าจะมีการปรับลดมุมมองแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยแย่ลง หลังจากการระบาดระลอกใหม่ของ โควิด-19 อาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่ กนง. เคยประเมินไว้

อย่างไรก็ดี เราคาดว่า กนง. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.50% และเลือกที่จะใช้นโยบายการเงิน อาทิ การสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ ผ่านโครงการ Softloan เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาล