ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก รับมือกำลังซื้อซบ 6 เดือน

(ชมคลิปข่าวด้านล่าง) ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก รับมือกำลังซื้อซบ 6 เดือน

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่รัฐบาลมีการประกาศใช้มาตรการควบคุมสูงสุดใน 6 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม โดยกำหนดเวลาเปิดปิดร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้า เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลง ประกอบกับมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐทยอยออกก่อนหน้านี้ทั้งโครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ โครงการม.33 เรารักกัน หลายโครงการเริ่มทยอยหมดระยะเวลาโครงการ และยังไม่มีการต่อเพิ่ม ทำให้คาดว่าจะทำให้ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งกลับมาลดลง จากก่อนหน้านี้ที่ร้านค้าปลีกค้าส่ง รวมถึงร้านค้ารายย่อย (โชห่วย) ได้เข้าร่วมโครงการกับภาครัฐมากกว่า 1 ล้านราย ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดหลายตัว บางรายที่เป็นร้านใหญ่และเข้าร่วมโครงการกับภาครัฐทุกมาตรการ มียอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว

อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ที่รัฐบาลอาจมีความจำเป็นต้องนำงบประมาณไปทุ่มกับระบบสาธารณสุข ทั้งการนำเข้าวัคซีน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดนั้น ซึ่งทางสมาคมฯเห็นด้วย เพราะชีวิตของประชาชนมีความสำคัญมากสุด แต่ก็จะทำให้มีเม็ดเงินในมาตรการเยียวยาอาจลดน้อยลงไป ประกอบกับหลายอาชีพต้องเสี่ยงขาดรายได้ ว่างงาน ทำให้กำลังซื้อลดน้อยถอยลง ซึ่งผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งประเมินว่าหลังจากนี้กำลังซื้อจะถดถอยลงไป แต่จะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลควบคุมโควิดได้เร็วหรือไม่ และมีการออกมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิดและมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อออกมาได้เร็วเพียงใด โดยค้าผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง และโชห่วย สามารถแบกรับกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงได้นานประมาณ 6 เดือน

สำหรับ การกักตุนสินค้าขณะนี้ คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาการกักตุนจนทำให้สินค้าขาดแคลน เพราะก่อนหน้านี้ในช่วง 1-2 เดือน ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการรัฐบาลได้มีการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าไปจำนวนมากท้ังข้าวสาร และสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ขาดว่าเป็นการกักตุนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้นานถึง 2 เดือน

ส่วนมาตรการที่ทางผู้ประกอบการอยากให้รัฐเข้ามาต่ออายุ หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย คือ มาตรการคนละครึ่ง มาตรการช้อปดีมีคืน ที่เป็นมาตรการเพื่อดึงเงินกลุ่มคนมีรายได้มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่โครงการเราเที่ยวด้วยกัน มองว่ายังไม่มีความจำเป็น เพราะรัฐควรนำงบประมาณมาใช้กับการจัดสรรวัคซีนให้ประชาชน เพราะหากโควิดยังมีอยู่ คนก็ไม่กล้าท่องเที่ยวอยู่ดี