ส.ภัตตาคารไทยชี้วิกฤติกิจการกลุ่มเสี่ยง! จี้นายกฯทบทวน ‘ห้ามนั่งทานในร้านอาหาร’

ส.ภัตตาคารไทยชี้วิกฤติกิจการกลุ่มเสี่ยง!  จี้นายกฯทบทวน ‘ห้ามนั่งทานในร้านอาหาร’

สมาคมภัตตาคารไทยทำหนังสือถึง 'บิ๊กตู่' วอนทบทวนคำสั่ง ศบค.ห้ามนั่งทานในร้านอาหาร 14 วัน ชี้ร้านอาหารอีกมากกำลังเข้าสู่ ‘จุดวิกฤติ’ สุ่มเสี่ยงต่อการปิดกิจการจากมาตรการนี้ ขอให้พิจารณาอนุญาตให้ลูกค้ากลับมานั่งทานในร้านได้วันที่ 7 พ.ค.นี้

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า วันนี้ (2 พ.ค.) สมาคมฯได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่ง ศบค.เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งให้ร้านอาหารในพื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ห้ามมีการให้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านเป็นเวลา 14 วัน (ตั้งแต่วันที่ 1-14 พ.ค.นี้)

ทางสมาคมภัตตาคารไทยในฐานะผู้แทนกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารได้รับข้อร้องเรียน ปรับทุกข์ จากผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของการระบาดโรคโควิด-19 และจากมาตรการควบคุมใน 2 ระยะการระบาดที่ผ่านมา ทำให้มีร้านอาหารจำนวนไม่น้อยต้องยอมพ่ายแพ้เลิกกิจการพร้อมกับหนี้สิน และอีกจำนวนมากกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติของกิจการ สุ่มเสี่ยงต่อการต้องปิดกิจการจากมาตรการครั้งนี้

หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจประเทศตามมา มูลค่าความเสียหายของธุรกิจของธุรกิจอาหารจากคำสั่งล่าสุดนี้อยู่ที่ 1,400 ล้านบาทต่อวัน อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงธุรกิจอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะภาคการเกษตรอันจะสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาได้

สมาคมภัตตาคารไทยจึงมีข้อเรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา 2 ข้อ ดังต่อไปนี้

ข้อเรียกร้องที่ 1 อนุญาตให้ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. และงดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ ขอให้พิจารณาอนุญาต ในวันที่ 7 พ.ค.2564

ทั้งนี้ในช่วงการระบาดของโรคโควิด -19 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขจัดทำมาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) ขึ้นมา เป็นมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ของสมัชชาการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council หรือ WTTC) ที่ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภาคธุรกิจร้านอาหารเป็นหนึ่งในกลุ่มกิจการที่เข้าร่วมมาตรฐาน SHA มีร้านอาหารกว่า 2,000 ร้านที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับมาตรฐาน SHA ซึ่งเป็นร้านที่มีมาตรการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ขั้นสูงสุด และยังมีร้านอาหารอีกจำนวนมากที่แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรฐาน SHA แต่ก็ปฏิบัติตามาตรการด้านสาธารณสุขที่ ศบค.กำหนดมาอย่างเข้มงวดเช่นกัน มีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อทำมาตรฐานสาธารณสุขทุกข้อ เป็นการแสดงออกถึงการให้ความร่วมมือกับ ศบค.ด้วยดีตลอดมา

จึงมั่นใจได้ว่า ร้านเหล่านี้มีมาตรฐานป้องกันการติดเชื้อจากทั้งลูกค้าและพนักงานในร้านอยู่ในระดับสูง มีความปลอดภัย สามารถเปิดให้บริการให้นั่งรับประทานได้ หากเทียบกับสถานที่สาธารณะอีกหลายประเภทที่ผู้คนจำนวนมากไปใช้บริการประจำวันหลายสถานที่ยังไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ ศบค.กำหนดได้

ร้านอาหารจึงนับว่าเป็นสถานที่ที่มีมาตรการด้านสาธารณสุขขั้นสูงมากและขณะนี้ส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทุกข้อที่รัฐบาลออกมาตรการมาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการตรวจวัดอุณหภูมิ การทำความสะอาด การเว้นระยะ และหรือมีฉากกั้น ยิ่งปัจจุบันลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการลดลงเกินกว่า 50% สามารถจัดการเว้นระยะได้เกินกว่ามาตรฐานกำหนด เพราะร้านอาหารทุกร้านตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกค้าที่มาใช้บริการ รวมถึงภาพลักษณ์ของร้านที่ต้องรักษา

ดังนั้นทางการแพทย์สามารถมั่นใจได้ว่า แม้จะมีการไปใช้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านก็จะไม่เกิดปัญหาในช่วงที่เปิดหน้ากากรับประทานอาหาร สมาคมภัตตาคารไทยได้นำข้อกำหนดของกรมอนามัยมาศึกษาซึ่งสามารถปฏิบัติได้ด้วยการจัดการเว้นระยะของโต๊ะ การเว้นให้ลูกค้าในโต๊ะนั่งห่างกัน มีฉากพลาสติกกั้น และการจำกัดจำนวนลูกค้าเทียบกับพื้นที่ ซึ่งสมาคมฯจะร่วมกับกรมอนามัยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประสานงานในการตรวจประเมินในช่วงที่ยังคงเป็นพื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุด เพื่อให้ร้านอาหารสามารถเปิดบริการนั่งรับประทานในร้านได้ทันที

สำหรับร้านอาหารที่ยังไม่ได้ตราสัญลักษณ์ SHA ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเชิญชวนให้เข้าร่วมมาตรฐาน SHA เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยสมาคมฯจะเป็นผู้ประสานดำเนินการต่อไป

ด้านร้านอาหารที่เป็นอาหารจานเดียวริมทางหรือร้านเล็กๆ ที่เป็นตึกแถว ขอให้พิจารณาอนุญาตกลับมาให้นั่งทานในร้านได้เช่นกันในวันที่ 7 พ.ค. 2564 โดยมีข้อกำหนดบังคับให้ร้านอาหารประเภทดังกล่าวดำเนินการดังนี้

-ต้องลดที่ลงอย่างน้อย 50% ของที่นั่งเดิม

-ต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะไม่ต่ำกว่า 1 เมตร

-ไม่อนุญาตให้ลูกค้าที่ไม่ได้มาด้วยกันนั่งรวมโต๊ะเดียวกันเด็ดขาด

-ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของสาธารณสุขก่อนเข้าร้านอย่างเคร่งครัด

-หากตรวจพบว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้ ทางท้องถิ่นและสาธารณสุขมีสิทธิ์ใช้อำนาจในการตักเตือนแก้ไขทันทีในครั้งที่ 1 หากยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้อีก สามารถใช้อำนาจในการสั่งปิดต่ออีก 7 วัน ตามคำสั่งของ ศบค. ได้ทันที

ส่วนร้านอาหารประเภทปิ้งย่าง ชาบู บุฟเฟ่ต์ ไม่อนุญาตในนั่งโต๊ะเดียวกันเกิน 4 คน และต้องเว้นระยะห่างโต๊ะไม่ต่ำกว่า 2 เมตร หรือ 1 เมตร แต่มีฉากกั้น รวมทั้งไม่อนุญาตให้ตักอาหารบุฟเฟ่ต์เอง หากไม่มีมาตรการดูแลป้องกันอย่างถูกวิธี เช่น ลูกค้าต้องใส่แมสก์ปิดปากปิดจมูกทุกครั้งที่ไปรับอาหารหรือตักอาหาร และร้านต้องให้ลูกค้าใส่ถุงมือพลาสติกส่วนตัวด้วยทุกครั้ง รวมทั้งจำกัดจำนวนคนในการเดินตักอาหารให้เหมาะสมด้วย

ข้อเรียกร้องที่ 2 มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหาร

เนื่องจากสถานการณ์ผลกระทบของการระบาดโควิด-19 ตั้งแต่รอบแรกจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของภาครัฐ เพราะมีข้อกำหนดหลักเกณฑ์มากมายไม่สอดคล้องต่อสภาพความจริงของการประกอบธุรกิจ SME ส่งผลให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องประสบกับปัญหาด้านการเงินอย่างมาก จึงขอให้นายกรัฐมนตรีได้กรุณาพิจารณาเยียวยา ดังนี้

-รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้าง เงินเดือนพนักงาน 50%

-งดการจัดเก็บภาษีในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

-ผ่อนผันการชำระดอกเบี้ย เป็นเวลา 6 เดือน และพักการชำระเงินต้นเป็นเวลา 1 ปี

-ขอความกรุณารัฐบาลโดย ศบค.ประสานเจ้าของห้างสรรพสินค้าลดค่าเช่าอย่างน้อย 50% โดยเจ้าของพื้นที่ที่ให้ส่วนลดสามารถนำไปลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลในรอบบัญชีถัดไป ซึ่งเป็นการช่วยประคับประคองร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบมาตลอดทั้งปี

-การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ เนื่องจากทางธนาคารมักจะมีทัศนคติว่าร้านอาหารเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง อันที่จริงความเสี่ยงนั้นมีเฉพาะช่วงโควิด-19 ร้านอาหารในอดีตล้วนมั่นคงด้วยเป็นธุรกิจเงินสด ใช้สินเชื่อจากธนาคารเท่าที่จำเป็นเมื่อมีการขยายธุรกิจเท่านั้น