นโยบาย ‘ภาษีไบเดน’ กับตลาดหุ้น

นโยบาย ‘ภาษีไบเดน’ กับตลาดหุ้น

เจาะลึกนโยบายภาษีของโจ ไบเดน จะเป็นอย่างไร? มีความเหมาะสมหรือไม่? จะส่งผลกระทบต่อเซ็กเตอร์ต่างๆ ของตลาดหุ้นอย่างไร หลังจากจำเป็นต้องมีการขึ้นภาษีเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินสำหรับโครงการในงบด้านสาธารณูปโภค 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ และด้านสังคม 1 ล้านล้านดอลลาร์

การเปิดตัวของงบด้านสาธารณูปโภคมูลค่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ระยะเวลา 10 ปีจากโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เมื่อเดือนที่แล้ว ผนวกกับงบด้านสังคมอีกกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนนี้ จำเป็นต้องมีการขึ้นภาษีเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินสำหรับโครงการดังกล่าว บทความนี้จะขอพิจารณาความเป็นไปได้ของนโยบายภาษีไบเดนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และจะมีผลกระทบต่อเซ็กเตอร์ต่างๆ ของตลาดหุ้น รวมถึงแนวโน้มของตลาดหุ้นสหรัฐหลังการประกาศดังกล่าว ดังนี้

1.แพ็คเกจภาษีที่จะขึ้นของ "โจ ไบเดน" จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

ในส่วนของการหาแหล่งเงินมาใช้ในโครงการนี้ ก็ยิ่งจะเห็นได้ว่าน่าสนใจ โดยไบเดนวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 15 ปี ในการจ่ายภาระหนี้ทั้งหมดของโครงการดังกล่าว ด้วยการขึ้นภาษีนิติบุคคลจากอัตราร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 28 นอกจากนี้ยังมีการขึ้นภาษีจากกำไรที่ทำได้นอกประเทศแล้วโอนกลับมาในสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ รวมถึงการที่จะให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องเสียภาษีขั้นต่ำอย่างน้อยร้อยละ 15 ของกำไร โดยที่จะเข้มงวดกับหมวดการลดหย่อนภาษีของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และผู้ที่มีรายได้สูง

2.ตลาดหุ้นสหรัฐได้ตอบรับหรือ priced in นโยบายภาษีของไบเดนหรือยัง?

ในประเด็นนี้ถือว่าตอบยากเล็กน้อย เนื่องจากในช่วงที่โจ ไบเดน ชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐนั้น ถือว่าอยู่ท่ามกลางบรรยากาศโควิด ซึ่งหากสังเกตจากระดับราคาของหุ้นที่ได้รับผลร้ายจากการขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคล จะพบว่าลดลงต่ำสุดในวันเลือกตั้งสหรัฐ จากนั้นก็ขึ้นมาเป็นลำดับ

3.โจ ไบเดนสมควรที่จะปฏิรูประบบภาษีหรือไม่?

สำหรับในประเด็นที่ว่าไบเดนสมควรที่จะปฏิรูประบบภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาคเอกชนและบรรดามหาเศรษฐี หากพิจารณาจากรูป จะพบว่าอัตราส่วนภาษีที่เก็บจากบริษัทในภาคเอกชนต่อจีดีพีของสหรัฐ ถือว่าเกือบต่ำที่สุดในโลก จึงแทบไม่มีเสียงค้านต่อการปฏิรูประบบภาษีของไบเดนในครั้งนี้

4.หุ้นแบบไหนที่จะโดนกระทบ?

หากพิจารณาผลกระทบจากการลดภาษีของทรัมป์เมื่อปี 2560 ต่อหุ้นประเภท Value stock จะพบว่าอัตราภาษีที่จัดเก็บจากหุ้น Value stock ที่มีราคาถูก จะมีอัตราภาษีที่สูงกว่าหุ้น Vale Stock ที่มีราคาแพง ด้วยปัจจัยนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ดัชนีหุ้นในกลุ่ม Value Stock ของสหรัฐ ร่วงลงมาเรื่อยๆ ในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา

5.เซ็กเตอร์ใดที่น่าจะถูกกระทบอย่างไร?

คำถามที่น่าจะสำคัญที่สุดในรอบนี้คือ หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือเซ็กเตอร์ใดที่น่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของไบเดนมากที่สุด? คำตอบนี้อาจจะต้องแบ่งตอบเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก ได้แก่ ภาษีที่เป็นอัตราภาษีนิติบุคคลทางกฎหมายของสหรัฐ ซึ่งคาดว่าเซคเตอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด น่าจะเป็นซคเตอร์การเงินและสินค้าบริโภค ในขณะที่ส่วนที่สอง เป็นส่วนของการเก็บภาษีกำไรจากต่างประเทศที่ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 21 และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของกำไรที่รายงานต่อ ก.ล.ต.ของสหรัฐ ในส่วนนี้เซคเตอร์ไอทีและสาธารณสุข คาดว่าจะถูกจัดเก็บภาษีสูงขึ้นมากที่สุด

หากพิจารณาโดยรวมแล้ว คาดว่าเซคเตอร์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นการเงินและสินค้าบริโภค เนื่องจากมีอัตราภาษีต่อรายได้รวมสูงกว่า โดยที่เซคเตอร์ไอทีและสาธารณสุขก็ได้รับผลกระทบอยู่ ทว่ามีรายได้และกำไรอยู่ในระดับที่สูงกว่าเพื่อนอยู่แล้ว

6.นโยบายภาษีไบเดนกับผลตอบแทนตลาดหุ้น

หากพิจารณาจากข้อมูลของทางการสหรัฐ จะพบว่าบุคคลธรรมดาที่จัดอยู่ในกลุ่มร่ำรวยที่สุด ถือครองการลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของมูลค่าตลาดรวมในหุ้นสหรัฐ และคิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของมูลค่าการเทรดหุ้นดัชนี S&P500 ในตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่รัฐบาลสหรัฐประกาศจะขึ้นภาษีจากกำไรในการลงทุนในหุ้น (Capital Gains Tax) จะพบว่ามีการขายหุ้นออกมาก่อนเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ประกาศจะออกมาจริง จากนั้นก็จะซื้อคืนกลับมาอีกครั้งในไตรมาสถัดไป

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ปี 2556 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่รัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นภาษี Capital gains tax ในครั้งนั้น กลุ่มคนรวยขายหุ้นราวร้อยละ 1 ของสินทรัพย์ทั้งหมดก่อนการประกาศขึ้นภาษี จากนั้นหลังจากที่ขึ้นภาษีแล้วก็ซื้อหุ้นกลับมาร้อยละ 4 ของสินทรัพย์ทั้งหมดในไตรมาสถัดมา รูปแบบดังกล่าวยังคล้ายคลึงกับการประกาศขึ้นภาษีของรัฐบาลสหรัฐใน 2 ครั้งก่อนหน้านี้

หมายเหตุ : หนังสือการลงทุนเล่มใหม่ "หุ้น Avengers : Infinity Stock" ว่าด้วยการใช้ข้อมูลและแนวคิดเชิงมหภาคแบบครบทุกมิติในการลงทุน ผลงานหนังสือเล่มที่ 5 ของผู้เขียน วางตลาดที่ร้านหนังสือทั่วประเทศแล้ว