โบรกฯ คาดกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ไตรมาสแรกคว้ากำไร 7.4 หมื่นล้าน

โบรกฯ คาดกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ไตรมาสแรกคว้ากำไร 7.4 หมื่นล้าน

กลุ่มหุ้นพลังงาน-ปิโตรเคมี พาเหรดรายงานกำไรไตรมาส 1/64 “ปตท.สผ.” คว้ากำไร 1.15 หมื่นล้าน ฝั่ง “ปูนใหญ่” กำไร 1.5 หมื่นล้าน “กสิกรไทย” ชี้ปัจจัยหนุนราคาน้ำมันดิบพุ่ง-โรงกลั่นพลิกกำไรจากปีก่อน “ซีจีเอสฯ” คาดครึ่งปีหลังกำไรสดใส ตามเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว

วานนี้ (28 เม.ย.2564) หุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นวันแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) รายงานกำไรสุทธิ 11,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถัดมา บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กำไรสุทธิ 14,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 114% เทียบช่วงเดียวกัน 

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2564 ของกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีอยู่ที่ 7.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสก่อน มีกำไร 4.2 หมื่นล้านบาท และพลิกเป็นกำไรเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 ที่ขาดทุน 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 350% 

โดยมุมมองส่วนใหญ่คาดกำไรสุทธิหุ้นรายตัวจะปรับขึ้นทั้งเมื่อเทียบไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นช่วงต้นปี 2564, ขณะที่กำไรของกลุ่มโรงกลั่นปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปีก่อนเผชิญผลขาดทุนจากสต็อก (Stock Loss) และการบันทึกกำไรพิเศษทางบัญชีของ PTTEP จากการลงทุนในประเทศโอมาน

โดยหุ้นพลังงาน-ปิโตรเคมี ที่กำไรปรับขึ้นหนุนกำไรทั้งกลุ่มมากสุด ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2-2.3 หมื่นล้านบาท ปรับขึ้นมากกว่า 50% จากไตรมาสก่อน  และปรับขึ้นมากกว่า 1,300% เทียบช่วงเดียวกัน , SCC รายงานกำไรแล้วที่ 1.5 หมื่นล้านบาท, PTTEP รายงานกำไรแล้วที่ 1.15 หมื่นล้านบาท และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท ปรับขึ้น 42% จากไตรมาสก่อน และปรับขึ้น 204% เทียบช่วงเดียวกัน 

161962829115

ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ปี 2564 คาดว่าหุ้นปิโตรเคมี ได้แก่ SCC, PTTGC และ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) จะยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ตามทิศทางราคาและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 ยกเว้น PTTEP ที่คาดว่ากำไรสุทธิจะทรงตัวถึงหดตัวลงเล็กน้อย เพราะไม่มีรายการพิเศษอย่างไตรมาสแรก

ส่วนหุ้นโรงกลั่น ได้แก่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) และ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) คาดว่าแนวโน้มกำไรจะอ่อนตัวลง เพราะไม่มีกำไรจากสต็อกวัตถุดิบหรือสินค้าคงเหลือ (Inventory Gain) เหมือนไตรมาสแรก

ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังปี 64 คาดกำไรสุทธิของกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี จะมีแนวโน้มเติบโตต่อ โดยคาดความต้องการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับมา แต่อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการระบาดหนักในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคหลักของโลก หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในเร็วๆ นี้ จะส่งผลกดดันราคาน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น และสเปรดปิโตรเคมีให้ปรับตัวลง

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนแนะนำเลือกหุ้นที่มีกำไรไตรมาสแรกแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 2 ได้แก่ PTTGC ราคาเหมาะสมที่ 79 บาทต่อหุ้น, IVL ที่ 53.5 บาทต่อหุ้น, SCC ที่ 425 บาทต่อหุ้น แต่ปัจจุบันราคาหุ้นปรับขึ้นเกินราคาเหมาะสมแล้วที่ 452 บาทต่อหุ้น และสุดท้าย PTTEP ที่ 134 บาทต่อหุ้น

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดการณ์แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2564 ของกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ออกมาดีกว่าตลาดคาดการณ์ อานิสงส์น้ำมันดิบโลกที่ปรับขึ้นประมาณ 26% ส่งผลให้ราคาขายปรับขึ้นไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนทิศทางไตรมาส 2 ปี 64 คาดกำไรสุทธิจะทรงตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกัน เพราะไตรมาส 2 ปี 63 เริ่มมีกำไรจากสต็อกน้ำมันดิบ (Stock Gain) รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันเริ่มทรงตัว

นอกจากนี้ กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ยังถูกกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดหนักในประเทศอินเดียและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันดิบเป็นอันดับ 3 และ 4 ของโลก แต่ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรกลุ่มช่วงครึ่งหลังปีนี้ เพราะคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ภายหลังการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19