เมื่อโลกไม่มีเรา... สรรพสิ่งและธรรมชาติจะเป็นอย่างไร

เมื่อโลกไม่มีเรา... สรรพสิ่งและธรรมชาติจะเป็นอย่างไร

เพื่อให้คนในโลกได้ฉุกคิดและตระหนักถึงการกระทำในปัจจุบันจะส่งผลต่ออนาคต และถ้าโลกใบนี้ไม่มีมนุษย์เหลืออยู่เลย จะมีสภาพแบบไหน   


"รู้จักหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2007 ตอนที่ออกใหม่ๆ เมื่ออ่านแล้วก็ชอบมาก ตอนแรกไม่ได้คิดจะแปล แต่อยากให้มีการแปล เพราะมันสนุกมาก แล้วไม่ทราบว่าลิขสิทธิ์อยู่กับใคร เลยใช้เวลานานมากเป็นสิบปี พยายามติดต่อผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ 

เขาจะค่อยๆ บอกว่าเจออะไร แล้วไขปริศนาว่าตรงนี้มาได้ยังไง ทำให้เห็นความสลับซับซ้อน การตั้งโจทย์ที่แยบยล ฉลาดมาก เป็นการพิจารณาแบบนิเวศวิทยาอย่างตรงไปตรงมา คุณเล่นบทบาทอะไรอยู่ในโลกนี้ พูดถึงแง่มุมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างละเอียดยิบ ทำให้รู้สึกอยากติดตาม"

ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ นักเขียน นักนิเวศวิทยา ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว เล่าถึงการแปลหนังสือ The World Without Us : จะเป็นอย่างไร เมื่อโลกไม่มีเรา ของสำนักพิมพ์ซอลท์ เขียนโดย Alan Weisman (แอลัน ไวส์แมน) ในงานเสวนาทางเฟซบุ๊คเพจ saltread เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 เนื่องจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 49 ณ ไบเทค บางนา ถูกเลื่อนออกไป เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงย้ายมาจัดออนไลน์

161959491485

ภาพจาก สำนักพิมพ์ Saltread

คำถามที่น่าคิด
บทสนทนาถึงสรรพสิ่งและธรรมชาติในโลกนี้ ที่ตั้งวงคุยกัน ดร.แทนไท ประเสริฐกุล นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน เจ้าของพอดแคสต์ WiTcast เล่าว่า อ่านหนังสือเล่มนี้ให้ลองจินตนาการ แบบไม่ซีเรียสจริงจังมาก ถ้าคุยตามหลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ ที่สมจริงที่สุด โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

"ผ่านไปสัก 100 ปี 1000 ปี บ้านเมืองมนุษย์จะเป็นยังไง ถ้าคนหายไป คนเขียนไล่ให้ดูทีละสเต็ปว่า มันจะเริ่มจากอะไรยังไง สุดท้ายแล้วเมืองทั้งเมืองมันจะหายไป แบบที่เรามองไม่เห็นร่องรอยอารยธรรมอะไรเลย กลายเป็นป่าล้วนๆ มีแต่รากไม้เท่านั้นที่รู้ว่า เคยมีเมืองอยู่ตรงนี้ เป็นสุสานที่ไม่มีแม้แต่ป้ายปักไว้ว่าที่นี่ใครตายอยู่" 

นอกจากความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ดร.สรณรัชฎ์ บอกว่าผู้เขียนยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของบางอาชีพที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน  
"บทที่เขียนถึงเมืองนิวยอร์คที่หายไป มันละเอียดลึกซึ้ง เห็นขั้นตอนว่า มันสลายไปได้ยังไง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นทันทีที่คนหายไป มีคนไม่กี่คนที่เป็น Keystone (สิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อสภาวะแวดล้อม) เช่น คนที่ดูแลท่อระบายน้ำ, คนดูแลน็อตบนสะพาน ซึ่งมีความสำคัญต่อเรามากกว่านักการเมือง เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราก็อยู่ไม่ได้

แล้วบางบทยังเปิดโลกให้เราได้คิดมากขึ้นด้วย เช่น ตอนนิวเคลียร์ เรารู้ว่ามีปัญหา แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะรุนแรงน่ากลัวขนาดนั้น เมื่อเมืองไม่มีคน ธรรมชาติก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราทิ้งเอาไว้ ก็ไม่หายไปจวบจนโลกสลาย เช่น รังสียูเรเนียมที่มีปริมาณมหาศาล ส่งผลต่อวิวัฒนาการของนกที่หากินอยู่แถบนั้น แล้วออกลูกมามีขนสีประหลาดๆ"
 

ถ้าเป็นเมืองไทย จะเป็นอย่างไร

ดร.สรณรัชฎ์ กล่าวว่า "มันคงไม่ต่างกันมาก แต่อาจจะไปเร็วกว่านิวยอร์ค เพราะกรุงเทพฯเป็นเมืองที่ไม่ได้อยู่บนหินอย่างนิวยอร์ค แต่อยู่บนเลนปากแม่น้ำ" ขณะที่ ดร.แทนไท เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติว่า

"แอลัน ไวส์แมน บอกให้เราไปดูตัวอย่างในโซนต่างๆ ของโลกที่คนหายไปหรือย้ายออกไป ธรรมชาติมันกลับคืนมาอย่างไร เช่น ชายแดนเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ ก็จะมีนกกระเรียน แต่ที่ผมเซอร์ไพรซ์แล้ว นึกไม่ถึงคือ พวกผักผลไม้ที่เรากินกัน พอไม่มีคนคอยบำรุงพันธุ์ให้ฝักใหญ่ มันก็ค่อยๆ วิวัฒนาการย้อนกลับเป็นแครอทป่าลีบๆ

ตระกูลผักทั้งหลายกลายเป็นพันธุ์ป่าไปหมดเลย หนูก็อดตาย เพราะร้านอาหารปิด ไม่มีขยะให้กิน แมลงสาบในเมืองหนาวๆ พอไม่มีฮีตเตอร์ ก็ตายไป อยู่ไม่ได้ เพราะมันหนาวเกินและน่าสนใจตรงที่เขาบอกว่า 10 ปีผ่านไปจะเป็นอย่างนี้ 100 ปี จะเป็นอย่างนี้ หนึ่งแสนปีจะเป็นอย่างนี้

พอไปถึงแสนปี แม้แต่ป่าที่เกิดขึ้นจากเมือง ก็ไม่อยู่แล้ว ยุคน้ำแข็งเวียนมาอีกรอบก็ไถกลบหมดทุกอย่าง ทำให้เราจินตนาการไปถึงความเปราะบางของอารยธรรมที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่ยังเหลืออยู่ได้นานคือ สแตนเลส สำริด พลาสติก"

161959499093

กรุงเทพมหานคร
 
ปัญหามาจากมนุษย์

"มนุษย์เป็นผู้ทำลายธรรมชาติ ขณะเดียวกันเราก็เป็นสปีชี่ส์ที่เห็นคุณค่าของธรรมชาติเยอะกว่าสปีชี่ส์อื่น มองเห็นความงามของดอกไม้ ป่า น้ำ แสงอาทิตย์ตอนอัสดงและรุ่งอรุณ เราเป็นสปีชี่ส์ที่มีความรู้ดูแลสปีชี่ส์อื่นๆ ได้ด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่มีมนุษย์มากเกินไป ทำยังไงจะให้มีจำนวนที่กำลังพอดี
ตอนที่ธรรมชาติยังดี เรามีประชากร 1,800 ล้านคน ผ่านไป 100-200 ปี เพิ่มขึ้น 6,000-7,000 ล้านคน

เราควรให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์คอยเตือนภัยเราล่วงหน้า เช่น เรื่อง Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลก) ที่บอกมา 20 กว่าปีแล้ว ให้เตรียมรับมือ อย่างโควิดที่ระบาด ก็เชื่อมโยงกับการทำลายป่า สัตว์ที่มีไวรัส ไม่มีที่อยู่มาอาศัยใกล้ชิดมนุษย์มากขึ้น" ดร.แทนไท เล่า 

ส่วนการแก้ปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ ดร.สรณรัชฎ์ เสนอว่า


1) เราต้องหยุดทำลายธรรมชาติทุกอย่างทั้งหมด โครงการทุกโครงการหยุดหมด 2) ฟื้นธรรมชาติให้มากที่สุด ทุกหนทุกแห่ง อะไรที่ทำลายอยู่ ก็ต้องรื้อทิ้ง เช่น เขื่อนไชยะบุรี เขื่อนปากมูล เพราะเราเหลือเวลาน้อยมาก 10 ปีนี้ เราต้องหยุดแล้ว ยังมีโครงการอีกมากมายที่มุ่งทำลายธรรมชาติ เราไม่เหลือให้ทำลายแล้ว เราต้องยอมรับ

"ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของสังคม จิตสำนึกก็ต้องเปลี่ยน ที่สุดแล้วถ้ามนุษย์มีจำนวนเยอะเกินไป จะมีการแย่งชิงทรัพยากร ถลุงทรัพยากรอย่างไม่รับผิดชอบ เราต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ทรัพยากรที่เราใช้อยู่ ต้องหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่เรื่อยๆ โลกก็ต้องมีพื้นที่ที่เป็น Wild Land ที่เป็นป่า มีความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยกำกับดูแลวัฏจักรแร่ธาตุต่างๆ ให้โลกคงสภาพต่อการดำรงชีวิตของสัตว์และมนุษย์"

161959504112

ฉบับภาษาอังกฤษ 
.........................
เนื่องจากไม่มีงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติสามารถซื้อหนังสือออนไลน์ได้ที่
      -เว็บไซต์สำนักพิมพ์ซอลท์ http://salt.co.th/world-without-us
      -เว็บไซต์งานสัปดาห์หนังสือ https://www.thaibookfair.com/seller/saltpublishing
..............
เรื่องย่อ:
หากวันหนึ่ง มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้หายตัวไป…โดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกยังอยู่เหมือนเดิม คุณคิดว่าธรรมชาติและชีวิตร่วมโลกที่เหลือจะสนองตอบอย่างไร
หนังสือขายดีอันดับหนึ่งที่ได้รับรางวัล 'หนังสือเยี่ยมที่สุดประจำปี2007' จากนิตยสารTIMEและอีกหลายสถาบัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานเพียงใด การกระทำของมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์สร้างยังคงส่งผลกับโลกใบนี้อยู่ 

สารคดีเชิงบรรยายฉายภาพให้เห็นโลกที่ไม่มีมนุษย์อยู่อีกต่อไป สภาพบ้านเมือง ตึกสูงเสียดฟ้า สวนสาธารณะ รถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นพังทลายสูญสลายกลายเป็นฟอสซิล อาคารเก่าแก่ที่สุดบางแห่ง อาจเป็นสถาปัตยกรรมสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ และเหตุผลว่าทำไมพลาสติก, ประติมากรรมสำริด และคลื่นวิทยุ จะเป็นของขวัญยั่งยืนที่สุดในจักรวาล เพื่อให้ตระหนักว่า 'มนุษย์' ได้ 'ทำ' และ 'ทิ้ง' อะไรไว้กับโลกนี้บ้าง