ระดมช่วยสาย (ไม่) ด่วน 1668 เดิมพันเก้าอี้ 'ประยุทธ์-อนุทิน'

ระดมช่วยสาย (ไม่) ด่วน 1668 เดิมพันเก้าอี้ 'ประยุทธ์-อนุทิน'

สายด่วน 1668 ที่ไม่ด่วนจริง ติดปัญหาไม่มีพนักงานคอยรับสาย เพื่ออำนวยความสะดวก หรือแม้กระทั่งมีพนักงานรับสาย แต่การประสานงานส่งรถพยาบาลไปรับ “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” เป็นไปอย่างล่าช้า

พิษโควิดระลอก 3 หนักหนาสาหัสกว่าระบาดระลอกก่อน ระบบสาธารณสุขของไทย ที่ถูกมองว่ามีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ กลับถูกชำแหละให้เห็นปัญหาที่ซุกเอาไว้ใต้พรมหลายอย่าง

หนึ่งอย่างที่สะท้อนถึงมาตรฐานของระบบสาธารณสุขได้อย่างดี คือการเตรียมการรับ “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” เข้ามายังโรงพยาบาล-โรงพยาบาลสนาม เพื่อทำการรักษาตัว

แต่ตลอดระยะเวลาที่เกิดการระบาดระลอก 3 มีแต่ข่าวด้านลบเกี่ยวกับการรับ “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” โดยเฉพาะสายด่วน 1668 ที่ไม่ด่วนจริง ติดปัญหาไม่มีพนักงานคอยรับสาย เพื่ออำนวยความสะดวก หรือแม้กระทั่งมีพนักงานรับสาย แต่การประสานงานส่งรถพยาบาลไปรับ “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” เป็นไปอย่างล่าช้า

แถมเมื่อมีภาพพนักงานที่คอยรับสายด่วน 1668 ถูกเผยแพร่ออกมา ยิ่งทำให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ตกเป็นเป้าโจมตีมากกว่าเดิม เพราะตอกย้ำความบกพร่องในการบริหารงานอย่างชัดเจน

เนื่องจากภาพพนักงานที่คอยรับสายด่วน 1668 ต้องทำงานแข่งกับเวลา และเดิมพันชีวิตของ “ผู้ติดเชื้อโควิด” แต่เมื่อเห็นภาพพนักงานที่คอยรับสาย อุปกรณ์การทำงานที่ย้อนยุค ทำให้ความคาดหวังจากสายด่วน 1668 กลับเป็นต้องผิดหวัง จึงเกิดกระแสด้านลบต่อ รัฐบาล-อนุทิน

เมื่อสายสายด่วนที่ไม่ด่วนจริง ถูกดิสเครดิตจนทำลายความน่าเชื่อถือ “รัฐบาล-อนุทิน” จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการระดมเปิดสายด่วนขึ้นมาเพิ่มเติม โดยขอกำลังเสริมจากหน่วยงานอื่น รวมถึงกำลังเสริมจากจิตอาสา

โดย “กรมการแพทย์” ระดมจิตอาสากว่า 200 คน ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ที่สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้น เข้ามาช่วยรับสายด่วน 1668

กทม.ปรับแผนเพิ่มคู่สายจาก 1668 มาเป็นสายด่วน 1669 โดยศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน กทม. (ศูนย์เอราวัณ) เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งโดยเฉลี่ยมีสายเข้าวันละ 3,500 สาย

ขณะที่ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ไม่พลาดซีนออกหน้า สั่งคณบดีโรงเรียนแพทย์ของ อว. คัดนิสิตนักเรียนแพทย์ที่มีความพร้อมมาช่วยรับโทรศัพท์สายด่วน

ด้าน “ขุนพลสีกากี” ภายใต้การกำกับดูแลของ “พล.อ.ประยุทธ์” ออกโรงแปลงสภาพศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ให้มาช่วยรับแจ้งข้อมูลประชาชนที่ติดเชื้อโควิเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ออกแอ็คชั่นขันอาสาส่งบุคลากรเข้ามาช่วยรับสาย เพื่อติดต่อเตียงว่าง ให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมือโควิด แต่ยังมีคำถามต่อว่าบุคลากรที่เกณฑ์มาช่วย เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามีความรู้เกี่ยวกับการรับมือโควิดมากน้อยเพียงใ

ที่สำคัญบุคลากรที่อาสามาร่วมด้วยช่วยกัน สามารถติดต่อประสานงานหาเตียงว่างทั้งใน โรงพยาบาล-โรงพยาบาลสนาม ได้จริงหรือไม่ เพราะผลสุดท้ายแล้วสิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่แค่โทรศัพท์ไปยังสายด่วนแล้วมีปลายสายสนธนาด้วย

แต่ความคาดหวังของ “ประชาชน” ทั้งกลุ่มไม่เสี่ยงติดเชื้อ-กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ-ผู้ติดเชื้อรายใหม่ คือผลลัพธ์ที่จะได้จากการโทรศัพท์ไปยังสายด่วน 1668-1669 มากกว่า

ในส่วนนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ “รัฐบาล-อนุทิน” ไม่ได้เตรียมการเอาไว้ เพราะอาจจะชะล่าใจว่าการระบาดระลอกแรก ระลอกสอง “รัฐบาล” สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิดได้ดี เตียงสนามที่เตรียมกันเอาไว้ไม่ได้ถูกใช้จริง

เมื่อประเมินจากการระบาดระลอกแรก ระลอกสอง ไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่ประเมินกันเอาไว้ “รัฐบาล-อนุทิน” จึงออกลูกประมาท ดังคำกล่าวของ “อนุทิน” ที่เคยระบุไว้ว่า “โควิดกระจอก” ย้อนศรกลับมาทิ่มแทงตัว “อนุทิน” เอง

จากนี้ไป “รัฐบาล-อนุทิน” ต้องมาลุ้นตัวเลข “ผู้ติดเชื้อรายใหม่” ทุกวัน หากยอดติดเชื้อเพิ่ม แรงกดดันก็จะสูงตามขึ้นไป เสมือนแรงกดดันให้ “พล.อ.ประยุทธ์-อนุทิน” ลาออกจากตำแหน่ง