Healthcare Sector (12 เม.ย.64)

Healthcare Sector (12 เม.ย.64)

โรงพยาบาลเอกชนจะสามารถฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้

Event

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชน เกี่ยวกับความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อนำเข้าวัคซีนป้องกัน COVID-19 มาเร่งเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีนในประเทศไทย

lmpact

เปิดทางให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าวัคซีน COVID-19 … ถือเป็นพัฒนาการด้านบวก

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการระบาดรอบใหม่ของ coronavirus โดยยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น (เป็น 967 รายในวันอาทิตย์) ทั้งในกรุงเทพและอีกหลายจังหวัด โดย cluster หลักของการระบาดรอบนี้มาจากร้านเหล้าและสถานบันเทิงระดับบนในย่านทองหล่อของกรุงเทพ ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นชอบแนวทางให้เอกชนนำเข้าวัคซีน หลังหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ทั้งนี้ ผู้ผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ต้องการ letter of intent จากรัฐบาลไทยก่อนที่จะกระจายวัคซีนไปให้กับโรงพยาบาลเอกชน ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนก็ต้องให้องค์การเภสัชกรรมเป็นผู้ทำการจัดหาวัคซีน เรามองว่าข่าวนี้เป็นบวกกับกลุ่มโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลเอกชนจะมีโอกาสนำเข้าวัคซีนได้มากขึ้นจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีในโลก ซึ่งจะช่วยลดอัตราการติดเชื้อ COVID-19 ได้ในอนาคต โดยประเด็นบวกที่สำคัญ ได้แก่ i) เพิ่มแหล่งรายได้จากการฉีดวัคซีน ii) โอกาสที่จะมีการเปิดให้ผู้ป่ วยต่างชาติเข้ามารับการรักษาในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ อย. ได้อนุมัติคำร้องของโรงพยาบาลเอกชนสี่แห่ง (Bangkok Dusit Medical Services (BDMS.BK/BDMS TB)*, Bangkok Chain Hospital (BCH.BK/BCH TB)*, Ramkhamhaeng Hospital (RAM.BK/RAM TB) และ Thonburi Healthcare (THG.BK/THG TB)) เพื่อขอนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศไทยไปแล้ว โดยในปัจจุบัน อย. ได้อนุมัติให้ภาคเอกชนสามารถซื้อวัคซีนของ AstraZeneca,
Sinovac และ Johnson & Johnson มาใช้ได้แล้ว เราเชื่อว่ารัฐบาลจะปรับปรุงกระบวนการเพื่อเอื้อให้ภาคเอกชนจัดซื้อ “วัคซีนทางเลือก” ได้สะดวกมากขึ้น

การกลับมาเปิดประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนผู้ป่วยต่างชาติให้เข้ามารับการรักษาในไทย เราเห็นสัญญาณบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มผลประกอบการของโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยต่างชาติ จากการที่ประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ กลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง เราคิดว่าปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนผู้ป่วยต่างชาติให้เข้ามารับการรักษาในไทย ได้แก่ i) การนำวัคซีนมาฉีดทั่วโลกและเป้าหมายของรัฐบาลที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากรไทย 50% ภายในสิ้นปีนี้ และ ii) การนำ vaccine passport มาใช้สำหรับนักเดินทาง เราคิดว่าการได้รับวัคซีนจะช่วยคลายความกลัว COVID-19 และทำให้มีการผ่อนคลายเกณฑ์การคุมโรคระบาดลง ดังนั้น เราจึงคาดว่าผู้ป่วยต่างชาติจะกลับมารับการรักษาในประเทศไทยมากขึ้น เราชอบ BDMS ในแง่ของ platform ธุรกิจที่แข็งแกร่งสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ

โรงพยาบาลที่ให้บริการ SSO และตรวจ COVID-19 จะยังคงมีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในปี 2564

เราคาดว่าผลประกอบการของโรงพยาบาลขนาดเล็กจะดีขึ้น YoY ในปี 2564F เนื่องจาก i) มีฐานรายได้ที่แข็งแกร่งจากการรักษาผู้ป่วยประกันสังคม ii) จำนวนผู้ป่วยที่ชำระเงินสดมีโอกาสจะฟื้นตัวขึ้นได้ตามการฟื้นตัวของภาะเศรษฐกิจ iii) margin เพิ่มขึ้นตามจำนวน และ intensity ของผู้ป่วย iv) คุมต้นทุนและ
ค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียมโรงพยาบาลต่าง ๆ ในประเด็นนี้ เราชอบ Bangkok Chain Hospital (BCH.BK/BCH TB)* และ Chularat Hospital (CHG.BK/CHG TB)* จากประกอบการที่น่าพอใจในปี 2563 และคาดว่ากำไรจะโตต่อเนื่องในปี 2564F

Valuation & Action

แม้ว่า COVID-19 จะกลับมาระบาดระลอกสามในประเทศไทย แต่เราเชื่อว่าโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยต่างชาติจะฟื้นตัวได้จากการที่ผู้ป่วยต่างชาติที่กลับมารักษาตัวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 2H64 ดังนั้น เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ Overweight โดยคาดว่า BDMS จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการที่ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการตั้งแต่ 2H64 เป็นต้นไป เรายังคงเลือก BDMS และ BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจาก i) โอกาสที่กำไรจะฟื้นตัวในปี 2565F และ ii) platform ธุรกิจที่แข็งแกร่งสำหรับทั้งผู้ป่วยในประเทศ และต่างชาติ

Risks

COVID-19 ระบาด, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่, เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้.