'ฮิตเลอร์' ติดยา พลิกประวัติศาสตร์

'ฮิตเลอร์' ติดยา พลิกประวัติศาสตร์

ย้อนประวัติศาสตร์ "ฮิตเลอร์" ผู้นำนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มติดยาปี 2484 จากการสู้รบที่เริ่มมีปัญหาเพราะเปิดศึกกับทั้งสหภาพโซเวียตและสหรัฐ แต่ต่อมายากลับขาดแคลน แล้วฮิตเลอร์ที่ติดยาหนักขึ้นทุกวันพลิกฟื้นเยอรมนีได้อย่างไร? ติดตามที่นี่

ข่าวลือเรื่องฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้ยาเสพติดมีมานานแล้ว แต่เพิ่งมีผู้ขุดข้อมูลอย่างลึกเมื่อไม่นานมานี้และพบว่าติดงอมแงม นักประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองไม่เคยมองปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่เมื่อพบข้อมูลเช่นนี้ก็ชวนให้ต้องทบทวนความเข้าใจและการตีความประวัติศาสตร์กันใหม่

ในหนังสือชื่อ “Blitzed” ซึ่งเขียนเป็นภาษาเยอรมัน โดย Norman Ohler ตีพิมพ์ในปี 2558 และแปลเป็น 25 ภาษา ในเวลาต่อมาสร้างความสนใจให้ชาวโลกเป็นอันมาก เพิ่งรู้ว่าในปี 2483 ที่นาซีบุกยึดเบลเยียมและฝรั่งเศสได้อย่างรวดเร็ว โดยลุยผ่านภูเขาทึบ The Ardennes ในเวลา 3 วัน 3 คืน ไม่หลับไม่นอนอย่างผิดคาดของฝ่ายป้องกัน ก็เพราะผลพวงของการจ่ายแจกยาเมทแอมเฟตามีน (methamphetamine, ปัจจุบันมีเวอร์ชั่นที่รู้จักกันในนามของยาไอซ์ หรือ crystal meth) จำนวน 35 ล้านเม็ดให้แก่ทหารราบและทหารประจำรถถัง

เยอรมนีเป็นมหาอำนาจของการผลิตยาและสารเคมีตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ในปี 2348 นักเคมีเยอรมันแยกมอร์ฟีนจากฝิ่นได้สำเร็จ ปี 2440 แยกสารแอสไพรินจากเปลือกต้นหลิว (willow) และอีก 11 วันต่อมา Felix Hoffmann นักวิจัยคนเดียวกันนี้ก็ผลิตสาร diacetyl morphine ได้สำเร็จและออกขายในชื่อการค้าว่า Heroin เพื่อแก้ปวดหัว บรรเทาอาการไอ และช่วยให้ทารกหลับ (โชคดีที่เราเกิดไม่ทัน) ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กลางทศวรรษ 2473 มีการผลิตยาชื่อเพอร์วิติน (Pervitin) (methamphetamine) ขายในตลาดให้ผู้คนได้ใช้กันทั่วหน้า อีกทั้งมียาชื่อ Eukodal (oxycodone อยู่ในตระกูลฝิ่นซึ่งลดความเจ็บปวดและเสพติดได้ง่าย) อีกด้วย

แอมเฟตามีน (ยาบ้า) สกัดได้ในปี 2430 ในเยอรมนีและนักเคมีอเมริกันนำมาปรับปรุงในปี 2470 ในสงครามโลกครั้งที่สองมีการใช้ยานี้ร่วมกับเมทแอมเฟตามีน ทั้งในฝ่ายนาซีเยอรมันและแม้แต่ฝ่ายพันธมิตร

ในศตวรรษ 2473 คนเยอรมันใช้ “ยาเสพติด” เหล่านี้ซึ่งถูกกฎหมายกันกว้างขวาง โดยเฉพาะเพอร์วิตินเป็นที่นิยมมากเพราะช่วยสร้างความเชื่อมัน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าแม่บ้าน เลขานุการ จนถึงคนขับรถบรรทุกกินกันเป็นปกติ มีแม้กระทั่งใส่ในขนม เช่น ช็อกโกแลต

เมื่อฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นผู้สนใจเรื่องอาหารสุขภาพต้องการยาบำรุงกำลัง จึงใช้บริการของหมอชื่อ Theodore Morell ผู้มีชื่อเสียงในการฉีดวิตามินเข้าเส้นในยุคปลายทศวรรษ 2473 ซึ่งฮิตเลอร์ผู้อ้างว่าเป็นมังสวิรัติ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า หรือแม้แต่ดื่มกาแฟ ติดใจจนรับมาเป็นแพทย์ประจำตัวจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในเดือน เม.ย.2488

ฮิตเลอร์เริ่มติดยาในปี 2484 เมื่อการสู้รบเริ่มมีปัญหาเพราะเปิดศึกกับทั้งสหภาพโซเวียตและสหรัฐ บันทึกของหมอประจำตัวซึ่งผู้เขียนไปค้นมาได้ ให้ข้อมูลว่าฮิตเลอร์มีปัญหานอนไม่หลับ มีไข้สูง ปวดท้องเป็นประจำ ขาดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นพูดปลุกใจ หรือร่วมประชุมกับเหล่านายทหารเพื่อตัดสินใจเรื่องการรบ ฯลฯ หมอ Morell ให้ยาตระกูลฝิ่นพร้อมกับฉีดฮอร์โมนบางชนิดให้ ซึ่งฮิตเลอร์พอใจมากเพราะเหมือนกับชุบชีวิต เขารับยาเหล่านี้ในปริมาณที่มากขึ้นทุกทีจนติดยาอย่างหนัก ฮิตเลอร์ชอบยา Eukodal เป็นพิเศษโดยควบกับยาเพอร์วิตินและคอกเทลที่มีโคเคนผสมอยู่ด้วย

เมื่อพันธมิตรยกพลขึ้นบกทวีปยุโรปได้ในเดือน มิ.ย.2487 ก็บุกยึดประเทศที่เยอรมนียึดครองอยู่กลับมาได้ และมุ่งเข้าสู่เบอร์ลินที่ฮิตเลอร์พำนักอยู่ ในขณะเดียวกันทางเหนือกองทัพสหภาพโซเวียตก็ตีขนาบมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน แข่งกันว่าใครจะถึงเบอร์ลินก่อน

ในสภาพกำลังแพ้และจนตรอกขึ้นทุกขณะ ฮิตเลอร์ก็ติดยาเหล่านี้หนักขึ้นแต่ทว่าในต้นปี 2488 ยาเหล่านี้ก็ขาดแคลนเพราะโรงงานถูกทำลายไปมากโดยฝ่ายพันธมิตร ฮิตเลอร์จึงมีอาการของคนขาดยา มือไม้สั่นอย่างเห็นได้ชัดจากภาพข่าวของฝ่ายนาซีเอง จนเชื่อกันว่าเป็นโรคพาร์กินสัน แต่ลึกๆ แล้วคนรอบข้างรู้ดีว่าเป็นผลจากยาเสพติดและสุขภาพที่เลวร้ายลงเป็นลำดับในวัยเพียง 56 ปี

ก่อนข้อมูลเรื่องการติดยาปรากฏชัด นักประวัติศาสตร์เข้าใจว่าฮิตเลอร์มีเสน่ห์และพลังล้ำลึก พูดได้เป็นชั่วโมงอย่างแข็งขัน มีไฟปลุกใจคนฟัง และทำให้นาซีเป็น “ยา” ที่ปลุกคนเยอรมันขึ้นมาสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ บัดนี้เข้าใจแล้วว่าพลังมาจากยาประเภท “upper” (ทำให้รู้สึกคึกคัก มีชีวิตชีวา) และการตัดสินใจหลายเรื่องที่ผิดพลาดทางกลยุทธ์ เช่น เปิดศึกสองด้าน อาจเป็นผลจากยาเสพติดก็เป็นได้

ในปี 2481 ยาเพอร์วิตินเป็นที่นิยมอย่างมากในคนเยอรมัน เพราะช่วยลดความกลัว ถ้าให้ปริมาณมากก็จะลดความต้องการที่จะหลับ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ฯลฯ จึงมีการเสนอให้เป็นยาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับทหารในกองทัพนาซี ความจริงเช่นนี้ทำให้เข้าใจพฤติกรรมของการสู้รบที่ผ่านมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ ให้สอดรับเป็นเรื่องราวที่มีความหมายซึ่งยากอยู่แล้ว อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงและระมัดระวังมากขึ้นในอนาคต โดยไม่มองข้ามข้อมูลสำคัญ เช่น การติดยาเสพติดของผู้นำ ทหาร และประชาชน

การวิเคราะห์ชัยชนะของทีมฟุตบอลที่ใช้ยาเสพติดตั้งแต่ผู้จัดการถึงผู้เล่น กับการไม่ใช้ยาเลยของทีมแตกต่างกันฉันใด การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สองก็ควรเป็นเช่นนั้น

การตีความเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เพื่อใช้เป็นบทเรียนและอุทาหรณ์ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงได้ จำเป็นต้องพิจารณาข้อมูล ประเด็น และปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้านที่สุด