‘โควิด’ ทุบหุ้นร่วงหนัก โบรกฯ-กองทุนจ่อซื้อของถูก

‘โควิด’ ทุบหุ้นร่วงหนัก โบรกฯ-กองทุนจ่อซื้อของถูก

หุ้นไทยร่วง 16.61 จุด “เอเซียพลัส-บัวหลวง” ชี้ดัชนีปรับฐานตอบรับข่าวลบโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ แต่แนะเป็นโอกาสเข้าซื้อ ขณะที่ "กสิกรไทย" เตือนหุ้นแพง-แผนกระจายวัคซีนล่าช้ากดดัน บลจ.ทิสโก้ คาดร่วงไม่เกิน 50-80 จุด ทยอยปรับพอร์ตเก็บหุ้นใหญ่

ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (5 เม.ย.) ลดลง 16.61 จุด มาอยู่ที่ 1,579.66 จุด หรือปรับลง 1.04% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 81,506 ล้านบาท ระหว่างปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,601.24 จุด และต่ำสุดที่ 1,575.56 จุด 

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงค่อนข้างแรง จากแรงขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง เช่น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ลดลง 2.15% มาอยู่ที่ 68.25 บาทต่อหุ้น บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ลดลง 4.61% มาอยู่ที่ 36.25 บาทต่อหุ้น และ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ลดลง 7.08% มาที่ 21 บาทต่อหุ้น

โดยคาดว่าเป็นผลจากความกังวลการระบาดของโควิด-19 ในประเทศระลอกใหม่ หลังพบผู้ติดเชื้อในสถานบันเทิง นอกจากนี้ยังมีแรงขายหุ้นลดความเสี่ยงก่อนเข้าวันหยุดสงกรานต์ และแรงขายทำกำไรหลังจากตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นราว 10% ขณะที่ปัจจุบันยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาสนับสนุน

“เรามองเป็นปัจจัยลบช่วงสั้น เพราะคาดว่าโควิด-19 ในประเทศรอบนี้จะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องล็อกดาวน์ในวงกว้าง และหลังเปิดวันหยุดสงกรานต์คาดว่าตลาดจะให้น้ำหนักการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ไตรมาสแรก ซึ่งยังมีแนวโน้มเป็นบวก โดยมองกรอบดัชนีเดือนเม.ย.เคลื่อนไหว 1,530-1,644 จุด” นายชาญชัย กล่าว

161764256165

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า แรงขายหุ้นวานนี้เป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น เพราะนักลงทุนลดน้ำหนักการถือหุ้นก่อนเข้าวันหยุดยาว อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจากการระบาดของโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในช่วง 14 วันต่อจากนี้ และจะเป็นปัจจัยกดดันการเคลื่อนไหวของดัชนี

“แต่ภาพใหญ่เรามองว่าไม่ได้เป็นขาลง แนะนำใช้จังหวะตลาดปรับฐานเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้น โดยให้แนวรับที่ 1,550 จุด และแนวต้าน 1,600 จุด ส่วนหลังสงกรานต์ดัชนีจะเริ่มมีโอกาสปรับขึ้นจำกัด แต่คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นการปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรบจ. ซึ่งจะเป็นอัพไซด์ต่อดัชนีประมาณ 100 จุด หรือมีโอกาสเห็น 1,700 จุดในปีนี้” 

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยมาจากมูลค่า (Valuation) ที่เริ่มตึงตัว และปัจจัยลบจากการกระจายวัคซีนโควิด-19 ในประเทศ โดยปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนของไทยยังค่อนข้างน้อยไม่ถึง 0.5% ของประชากร ส่งผลให้มีความเสี่ยงการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าต่างประเทศ

ด้านนายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า หากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด -19 ระลอก 3 คาดว่าไม่น่าทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปมากกว่าครั้งก่อนๆ หรือปรับลงไม่เกิน 50-80 จุด และยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยที่ 1,600 จุด เป็นราคาที่เหมาะสมในปีนี้และมีอัพไซด์ในช่วงครึ่งปีหลังที่ 1,650 จุด หากสามารถกระจายวัคซีน และกลับมาเปิดประเทศได้ตามเป้าหมายปีนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะดึงดูดให้กระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) กลับเข้ามาได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้

“หุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ยังมีโอกาสปรับฐานลง 5% ถือเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโตรอการกลับมาเปิดประเทศและฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยปัจจุบันผู้จัดการกองทุนได้ปรับกลยุทธ์เริ่มทยอยสะสมหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาในพอร์ตแล้ว โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ ปิโตรเคมี อาหารและเครื่องดื่ม พาณิชย์ พลังงานและสาธารณูปโภค”