'จีซี' คาดธุรกิจปิโตรเคมีปีนี้ ฟื้นรับเทรนด์เศรษฐกิจโลก

การค้นพบวัคซีนโควิด-19 และการอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศ จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกปีนี้ฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบช่วงต้นปีนี้ ขยับสูงขึ้นแตะระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนมาร์จินของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในปีนี้

คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ระบุว่า ปีนี้ บริษัท คาดว่าจะไม่ประสบปัญหาขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบลดลงต่ำกว่าระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหมือนเมื่อปีผ่านมาที่ขาดทุนสต็อกน้ำมัน อยู่ที่7,156 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า (Hedging) ระดับ 100% เพื่อเป็นการปิดความเสี่ยงไว้แล้ว

ประกอบกับปีนี้ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 8% หลังจาก 3 โครงการ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และได้ทยอยเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ถึงต้นปี 2564 ได้แก่ 1. โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตผ่านการลงทุนในแนฟทา แครกเกอร์ (Naphtha Cracker) เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบของบริษัทฯ และต่อยอดธุรกิจปลายน้ำในอนาคตด้วยกำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตัน และโพรพิลีน 250,000 ตัน มูลค่าโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท, 2โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) และ 3 โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) 200,000 ตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) 130,000 ตันต่อปี มีมูลค่าโครงการประมาณ 34,000 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่า รายได้ปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 8% จากปีก่อน

ส่วนในแง่ของราคาผลิตภัณฑ์ ก็มีแนวโน้มดีขึ้น เช่น โพลีเอทิลีน (PE) ปัจจุบัน อยู่ที่1,200 ดอลลาร์ต่อตัน จากปีก่อนไม่ถึง 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน โพรพิลีนออกไซด์ (PO) ราคาดีขึ้น และ บีสฟีนอล (BPA) อยู่ที่ประมาณ 3,000 ดอลลาร์ต่อตัน จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน เป็นต้น ทำให้คาดว่ามาร์จิน ครึ่งปีแรกจะดีขึ้น แต่ครึ่งปีหลังอาจอ่อนตัวลงจากกำลังการผลิตอะโรเมติกส์ของทั่วโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ บริษัท ยังมีแผนที่จะควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) โครงการในต่างประเทศ ซึ่งจะมุ่งเน้นไปยังผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ใน 2 กลุ่มหลัก คือ พลาสติกที่มีสมรรถนะสูง (high performance plastics) และวัสดุเคลือบผิวและวัสดุกาวและสารสำหรับการยึดติด (coating and adhesive) โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา คาดหวังว่าในปีนี้จะเห็นความชัดเจนเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเม็ดเงินลงทุนนั้น บริษัท มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยเมื่อปีที่ผ่านมาได้ขอที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ อนุมัติกรอบออกหุ้นกู้ 5 ปี วงเงิน 4,000 ล้านดอลาร์ ซึ่งได้ออกหุ้นกู้ไปแล้ว 1,250 ล้านดอลลาร์ ยังเหลือวงเงินอีกประมาณ 2,700 ล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนหนึ่งจะนำไปใช้รีไฟแนนซ์เงินกู้เดิม และอีกส่วนใช้สำหรับรองรับการทำ M&A

นอกจากนี้ บริษัท ยังให้ความสำคัญกับการเข้าไปลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) ในต่างประเทศ ซึ่งจะมุ่งเน้นใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1. Advance Materials (วัสดุขั้นสูง) 2. Clean Technology (เทคโนโลยีสะอาด) 3. Digital และ 4. Health Care (การดูแลสุขภาพ) โดยที่ผ่านมาได้ใช้เงินเข้าไปลงทุนแล้วประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์ และเตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัท เพื่ออนุมัติวงเงินสำหรับเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการพลาสติกชีวภาพ หรือ ไบโอชีวภาพชนิด PLA ในประเทศไทยนั้น บริษัทคาดว่า ในปี 2565 จะมีความชัดเจนว่า บริษัท เนเจอร์เวิร์ค จากสหรัฐ ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จะตัดสินใจเข้ามาลงทุนก่อตั้งโรงงาน PLA แห่งที่ 2 ในประเทศไทยหรือไม่

ส่วนที่บริษัท ได้เป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT นั้นบริษัท มั่นใจว่า จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในปีหน้า ขณะเดียวกัน วีนิไทย ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก (PVC) เพิ่มขึ้น โดยจะใช้เอทีลีน เป็นวัตถุดิบเพิ่มจาก 1.9 แสนตัน เป็น 3.8 แสนตันต่อปี 

ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์กับบริษัท ทั้งในการจำหน่ายเอทิลีน และได้รายได้เพิ่มจากการขยายตลาดอนุพันธ์ของปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ปลายน้ำที่มีราคาที่ดี รวมถึงยังมีโอกาสเพิ่มจากการขยายตลาดไปยัง CLMV ด้วย