หุ้นค้าปลีกเด้งรับ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้คืน’ ลุ้นยอดขายพลิกบวก

หุ้นค้าปลีกเด้งรับ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้คืน’ ลุ้นยอดขายพลิกบวก

ความเคลื่อนไหวของดัชนีกลุ่มหุ้นค้าปลีกในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (1-31 มี.ค.) ปรับขึ้น 11.88% นำโดย บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ปรับขึ้น 16.39% มาอยู่ที่ 69.25 บาทต่อหุ้น

ถัดมา บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) ปรับขึ้น 11.28% มาอยู่ที่ 14.80 บาทต่อหุ้น และ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) 11.19% มาอยู่ที่ 37.25 บาทต่อหุ้น

โดยการปรับขึ้นในครั้งนี้ได้รับแรงหนุนมาจากกระแสข่าวความชัดเจนของแผนการเปิดประเทศ (Reopening) ในช่วงที่ผ่านมา จากเดิมราคาหุ้นถูกกดดันจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เบาบางลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ต่อเนื่องจากปลายปี 2563

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐดูจะหนุนการฟื้นตัวของหุ้นค้าปลีกไม่ขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ค้ารายย่อย ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ประโยชน์โดยตรง

ด้านนักวิเคราะห์ “ธรีทิพย์ วงษ์แสงไพบูลย์" ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับขึ้นร้อนแรงในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นการปรับขึ้นตอบรับปัจจัยบวกจากกระแสข่าวเปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้มีการคลายล็อกดาวน์ และช่วยฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมา ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มค้าปลีกโดยตรง

161720690735

ในแง่ของกำไรสุทธิ คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในไตรมาส 2 ปี 2564 เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2 ปี 2563) กำไรสุทธิของกลุ่มค้าปลีกได้รับผลกระทบจากการปิดประเทศ และการล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้คาดว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวภายหลังทั่วโลกกระจายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะเป็นปัจจัยหนุนแก่ยอดขายของกลุ่มค้าปลีกอีกแรงหนึ่ง

สำหรับมุมมองการลงทุน นักวิเคราะห์ยังคงแนะนำ “ซื้อ” แม้ว่าราคาหุ้นแต่ละตัวปรับขึ้นใกล้กับราคาเหมาะสมที่ประเมินเอาไว้แล้ว เนื่องจากกลุ่มค้าปลีกมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยคาดว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) จะพลิกกลับมาเป็นบวกในไตรมาส 2 ปี 2564 จากปัจจุบัน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2564 ติดลบประมาณ 5-6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

นอกจากนี้ คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2564 จะเติบโตประมาณ 19% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 3.45 หมื่นล้านบาท โดยทิศทางการเติบโตที่ชัดเจนจะเป็นปัจจัยหนุนให้นักวิเคราะห์พิจารณาปรับราคาเหมาะสมของหุ้นในกลุ่มต่อไป เบื้องต้น บล.กสิกรไทยมีแผนปรับเพิ่มราคาเหมาะสมของกลุ่มค้าปลีกภายหลังการประกาศงบไตรมาส 1 ปี 2564

เมื่อสอบถามถึงปัจจัยกดดันหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง CPALL “ธรีทิพย์” กล่าวว่า ราคาหุ้นของ CPALL วานนี้ (31 มี.ค.) ปรับลง 1.07% หรือปรับลง 0.75 บาท จากกระแสข่าวเชิงลบเฉพาะตัวเกี่ยวกับดีลการซื้อธุรกิจของ “เทสโก้โลตัส” แต่คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นเท่านั้น และคาดว่าปัจจัยพื้นฐานจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ส่วนข้อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “ยิ่งใช้ยิ่งได้คืน” จากหอการค้าไทยนั้น เนื่องจากเป็นข้อเสนอจากภาคเอกชน อีกทั้งภาครัฐยังมีข้อจำกัดในการจัดเก็บรายได้ทางภาษีที่ต่ำกว่าเป้าในปีที่ผ่านมา ดังนั้น ยังคงต้องรอติดตามท่าทีของภาครัฐต่อข้อเสนอดังกล่าว

ด้าน “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล" ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในไตรมาสแรกยังมียอดขายสาขาเดิมที่ติดลบ แต่เชื่อว่าไตรมาส 1 ปี 2564 จะเป็นจุดต่ำสุด (Bottom) ของผลการดำเนินงานของกลุ่ม ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2564 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจน ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 คาดว่าผลการดำเนินงานจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงที่ไทยเริ่มเปิดประเทศ

โดยหุ้นเด่นในกลุ่มที่ บล.ทิสโก้ แนะนำลงทุน คือ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) เพราะแนวโน้มยอดขายสาขาเดิมมีโอกาสเติบโตในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ อีกทั้งราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มากเท่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม (Laggard) โดยให้ราคาเหมาะสม 44 บาทต่อหุ้น มีโอกาสปรับขึ้น (Upside) มากกว่า 10% จากราคาหุ้นปัจจุบันที่ 38 บาทต่อหุ้น

ถัดมาแนะนำซื้อ CPALL ราคาเหมาะสม 75 บาทต่อหุ้น แม้ราคาหุ้นจะเริ่มมี Upside จำกัด หรือน้อยกว่า 10% จากราคาปัจจุบันที่ 69.25 บาทต่อหุ้น แต่เชื่อว่ากำไรไตรมาส 1 ปี 2564 จะออกมาดี และจะส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการราคาเหมาะสมในช่วงถัดไป