หุ้นกลาง-เล็กราคาพุ่ง! โบรกฯ เชียร์ซื้อกลุ่มกำไรโต

หุ้นกลาง-เล็กราคาพุ่ง! โบรกฯ เชียร์ซื้อกลุ่มกำไรโต

หุ้นขนาดกลาง-เล็ก พาเหรดราคาพุ่ง นำโดย BWG เพิ่มขึ้น 19% รองมา ITD 14% “เอเซีย พลัส” ชี้นักลงทุนเปลี่ยนกลุ่มเก็งกำไร หลังหุ้นใหญ่ราคาขึ้นจำกัด เผยผลตอบแทนหุ้นเล็กช่วงไตรมาสแรกพุ่ง 36.3% “หยวนต้า” แนะเก็งกำไรหุ้นแนวโน้มผลดำเนินงานเติบโต ราคาไม่แพง

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นขนาดกลาง-เล็กวานนี้ (30 มี.ค.) ปรับขึ้นร้อนแรง นำโดย บมจ.เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน (BWG) ปรับขึ้น 19.44% หรือ 0.14 บาท มาอยู่ที่ 0.86 บาทต่อหุ้น, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ปรับขึ้น 14.19% หรือ 0.22 บาท มาอยู่ที่ 1.77 บาทต่อหุ้น บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) ปรับขึ้น 13.79% หรือปรับขึ้น 0.04 บาท มาอยู่ที่ 0.33 บาท และ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) ปรับขึ้น 12.16% หรือ 0.09 บาท มาอยู่ที่ 0.83 บาทต่อหุ้น

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาหุ้นขนาดกลาง-เล็กปรับขึ้นร้อนแรงสวนทางกับดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่แกว่งออกข้าง (ไซด์เวย์) ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเงินลงทุนย้ายเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ เพราะราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับขึ้นอย่างจำกัด โดยเป็นผลจากที่นักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศซื้อสลับขายสุทธิในช่วงครึ่งหลังของเดือน มี.ค.

นอกจากนี้ การปรับขึ้นของหุ้นกลาง-เล็ก ยังมาจากการที่นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สะท้อนจากค่าเฉลี่ยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในเดือน ก.พ.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.74 แสนบัญชี จากปี 2563 ที่ 6.22 หมื่นบัญชี โดยเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนรายย่อยมักเข้าซื้อในหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ราคาไม่สูงมาก

ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) พบว่า ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งเป็นกระดานซื้อขายหุ้นขนาดเล็กให้ผลตอบแทนสูงถึง 36.3% และดัชนี sSET ผลตอบแทน 27.7% โดดเด่นกว่าผลตอบแทนของ SET ที่ 9.6%, SET100 ที่ 8.3% และ SET50 ที่ 6.7%

บริษัทแนะนำซื้อหุ้นกลาง-เล็กที่ภาพรวมกำไรปี 2563 เติบโต และปี 2564 ทิศทางผลประกอบการยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ บมจ.เอส พี วี ไอ (SPVI) ราคาเหมาะสม 6.92 บาทต่อหุ้น และ บมจ.อินฟราเซท (INSET) ราคาเหมาะสม 4.66 บาทต่อหุ้น โดยเตือนนักลงทุนว่าการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้บางส่วนเป็นการเก็งกำไรเท่านั้น ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนหันมาเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก (Laggard) โดยเป็นการย้ายกลุ่มลงทุนหลังจากขายทำกำไรหุ้นใหญ่ที่ราคาปรับขึ้นไปแล้ว อีกทั้งหุ้นกลาง-เล็กยังเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างประเทศจำกัด เช่น การปรับน้ำหนักของดัชนีหุ้นโลกเอ็มเอสซีไอ (MSCI) หรือดัชนีฟุตซี่ (FTSE) และทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ เป็นต้น

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ แนะนำซื้อ “เก็งกำไร” โดยเลือกหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1ปี2564 เติบโต กระแสเงินสดแข็งแกร่ง อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และมูลค่า (Valuation) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต ได้แก่

บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) บมจ.บิสซิเนสอะไลเม้นท์ (BIZ) บมจ.มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล (MOONG) บมจ.อาม่า มารีน (AMA) บมจ.เทคโนเมดิคัล (TM) บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) บมจ.ซีออยล์ (SEAOIL) และ บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH)