ลดกฎหมาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ถ้ากฎหมายเอื้อต่อการเติบโต เอื้อให้การประกอบธุรกิจง่าย ต้นทุนของทั้งระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าต้นทุนในการดำเนินชีวิตของประชาชน หรือต้นทุนของภาคธุรกิจก็ต่ำ !
กฎหมาย ระเบียบ กติกาภาครัฐ มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนในประเทศ เนื่องจากการดำเนินชีวิตของประชาชนทุกคน และการดำเนินธุรกิจทุกประเภทสัมพันธ์กับกฎหมาย ระเบียบ กติกาต่างๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ถ้ากฎหมายเอื้อต่อการเติบโต เอื้อให้การประกอบธุรกิจง่าย ต้นทุนของทั้งระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าต้นทุนในการดำเนินชีวิตของประชาชน หรือต้นทุนของภาคธุรกิจก็ต่ำ ในทางตรงข้าม ถ้ากฎระเบียบเป็นอุปสรรค ไม่เอื้อให้แข่งขันได้ ต้นทุนของทั้งระบบเศรษฐกิจก็สูงไปด้วย
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยมีพระราชบัญญัติจำนวนกว่า 1,400 ฉบับ และมีกฎหมายลำดับรองมากถึง 100,000 ฉบับ โดยส่วนมากมีลักษณะไม่ยืดหยุ่น สร้างภาระทั้งต่อรัฐ และประชาชน เป็นภาระต่อรัฐในการบังคับใช้กฎระเบียบ เป็นภาระต่อภาคธุรกิจและประชาชนในการปฏิบัติตาม การทบทวนและปรับปรุงกฎ ระเบียบต่างๆ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
การทบทวนกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อลดหรือยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น กฎหมายล้าสมัย ก่อความไม่สะดวก สร้างภาระในการปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า Regulatory Guillotine จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ข้อมูลจากงานสัมมนา 'Thailand’s Journey on Regulatory Guillotine' ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) พบว่า 90% ของกฎหมายพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบและคำสั่งต่างๆ เป็นลักษณะควบคุม (Control) กล่าวคือเป็นระบบอนุมัติ อนุญาต ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก บริการของภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ การทำธุรกิจเกิดความล่าช้า ในแต่ละการทำธุรกรรมต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ มีการประเมินว่ากฎหมายที่ล้าสมัยก่อต้นทุนให้ประเทศ คิดเป็นมูลค่าปีละ 10-20% ของ GDP ในประเทศ
ทั้งนี้ในปี 2559 รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนมี ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน เพื่อพิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจจากธนาคารโลกปี 2560 ดีขึ้นเป็นลำดับที่ 26 จาก 190 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมีโครงการทบทวนการอนุญาตของทางราชการภายใต้ชื่อ 'Thailand’s Simple and Smart License' ด้วยวิธีการ Regulatory Guillotine เป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สนับสนุนบุคลากรและงบประมาณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) รับผิดชอบบริหารโครงการ และมี Mr. Scott Jacobs ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำ Regulatory Guillotine ให้กับรัฐบาลต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม โครเอเชีย เม็กซิโก และการปฏิรูปกฎเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (Foreign Exchange Regulation Reform) ให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นที่ปรึกษาโครงการ
โครงการทบทวนการอนุญาตของทางราชการ ที่ศึกษาโดย TDRI เริ่มดำเนินการเดือนตุลาคม 2561 แล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2562 โดยความหมายของการอนุญาต ครอบคลุมถึงการออกใบรับรอง การจดทะเบียน การขึ้นทะเบียน การรับแจ้ง การอนุมัติ และการให้ประทานบัตร/ อาชญาบัตร และเป็นการทบทวนกฎหมายทุกลำดับศักดิ์ที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตจำนวน 198 เรื่อง รวมแล้ว 1,094 กระบวนงาน เนื่องจากการขออนุญาตหนึ่งเรื่องอาจเกี่ยวข้องกับหลายกระบวนงาน ครอบคลุมหน่วยงานระดับกรม 50 หน่วยงาน พบว่ากว่า 85% ของกระบวนงานเกิดจากกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นหรือล้าสมัย
ถ้าภาครัฐยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายดังกล่าว จะช่วยให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจประหยัดต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายได้ถึง 133,816 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP
ในการทบทวน พบปัญหาหลักของกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต คือ การขออนุญาตมีความยุ่งยาก สร้างภาระ ซ้ำซ้อนกันหลายหน่วยงาน นอกจากนี้ยังล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน และการพิจารณาการขออนุญาตขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจขาดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้มีความไม่แน่นอนสูง
มีตัวอย่างในต่างประเทศที่ใช้กระบวนการ Regulatory Guillotine เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ญี่ปุ่น สมัยนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ ประกาศใช้นโยบายลูกธนูสามดอก (three-arrow policy) หรือที่เรียกว่า Abenomics ประกอบด้วย ธนูดอกแรกคือนโยบายการเงิน ธนูดอกที่สองคือนโยบายการคลัง และธนูดอกที่สามคือ นโยบายยกเลิกและปรับปรุงกฎระเบียบกฎหมาย (Regulatory Guillotine) ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน โดยรัฐบาลญี่ปุ่นเน้นแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับแรงงาน อำนวยความสะดวกการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนของอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการสาธารณสุขและด้านการเกษตร
ประเทศอื่นๆ ที่ทำและประสบความสำเร็จไปแล้ว เช่น เกาหลีใต้ ที่พิจารณากฎหมาย กฎระเบียบไป 11,125 ฉบับ ยกเลิกไป 48.8% ปรับปรุงให้สะดวกขึ้น 21.7% หรือเม็กซิโกที่พิจารณาพิธีการไป 2,038 ฉบับ ยกเลิกไป 54% ปรับปรุงให้สะดวกขึ้น 27% หรือเคนยา ที่พิจารณาระเบียบการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 1,325 ฉบับ ยกเลิกไป 23.8% ปรับปรุงให้สะดวกขึ้น 28.6%
ดังนั้นจะเห็นว่า การปรับปรุงกฎหมาย เป็นเรื่องที่นานาประเทศทำ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศดีขึ้น เท่าทันความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 การปรับปรุงกฎหมายยิ่งมีความจำเป็นและเกิดประโยชน์สูง โดยประโยชน์ที่เกิดขึ้นมีอย่างน้อย 3 ประการ
หนึ่ง ช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีต้นทุนในการดำเนินชีวิต หรือต้นทุนการประกอบธุรกิจที่ลดลง
สอง เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประหยัดงบประมาณของภาครัฐ ลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลเมื่อเทียบกับการต้องใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สาม เป็นการสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว ช่วยให้ภาคธุรกิจมีความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างข้อเสนอของ ดร. กิรติพงศ์ แนวมาลี นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI เรื่องการช่วยเหลือธุรกิจภาคบริการอย่างสปา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ก็น่าสนใจ เพราะเป็นธุรกิจที่มีการจ้างงานจำนวนมาก พบว่า หากปรับปรุงกฎระเบียบของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพในประเด็นการขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (พนักงานนวดสปา) จะช่วยลดต้นทุนการขออนุญาตและค่าเสียโอกาส 13,000 ล้านบาท เพราะปัจจุบันภายใต้ พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ปี 2559 และกฎกระทรวง 4 ฉบับ กำหนดให้ผู้ให้บริการในสถานประกอบกิจการเพื่อสุขภาพ ต้องนำเอกสารที่ผ่านการอบรมไปยื่นให้กับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งต้องเดินทางมาขออนุญาตที่ กทม. เท่านั้น และรออนุมัติการขึ้นทะเบียนจึงจะประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมาย โดยแต่ละปี มีผู้ยื่นจดทะเบียนมากถึง 40,000 คน คิดเป็นต้นทุนและภาระที่ไม่จำเป็นมหาศาล
นี่คือตัวอย่างแค่ธุรกิจเดียว และการปรับกฎเกณฑ์เรื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งช่วยลดภาระให้ทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐและประชาชน
การปฏิรูปกฎหมาย โดยลด ละ เลิก กฎหมายที่ไม่จำเป็น ไม่เท่าทันต่อยุคสมัย สร้างภาระที่มากเกินไปให้ผู้ประกอบการ แรงงาน และเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเรื่องเร่งด่วนของเศรษฐกิจไทย