ศาสตร์การปิ๊ง หรือ สปาร์คกันของหนุ่มสาว

ศาสตร์การปิ๊ง หรือ สปาร์คกันของหนุ่มสาว

ไม่ว่าคู่ควงของคุณจะเป็นพวกซื่อสัตย์ เชื่อใจได้มากเพียงใดก็ตาม อย่าได้ไปหวังว่าจะห้ามไม่ให้มองหญิงอื่นได้ เพราะเรื่องนี้มันมีอยู่ลึกๆ ในยีน

นักวิทยาศาสตร์รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องว่า ผู้หญิงกับผู้ชายเค้าสนใจหรือชอบกันได้ยังไง และมีหลักเกณฑ์หรือแนวคิดในการเลือกคู่อย่างไรกันแน่ ?

พอไปไล่เรียงหาผลงานวิจัยในหัวข้อแบบนี้ดู ก็พบว่า มีเรื่องให้แปลกใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เรื่องแรกนักจิตวิทยา ลีฟ เนสัน (Leif Nelson) และอีวาน มอร์ริสัน (Evan Morrison) ทดสอบกับเด็กมหาวิทยาลัย

พวกเขาพบว่า พวกนักศึกษาที่มีเบี้ยน้อยหอยน้อยกว่าเพื่อนๆ มักจะเลือกภาพสาวๆ ที่อยากออกเดตด้วยเป็นคนที่ “มีเนื้อหนังมังสา” มากกว่าพวกที่มีเงินมากกว่าเลือกอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อทดสอบซ้ำ โดยพวกเขาแบ่งกลุ่มให้กลุ่มแรกคิดว่า ตัวเองมีเงินในบัญชีธนาคารอยู่น้อย คือไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนอีกกลุ่มมีมากถึง 400,000 เหรียญ แล้วให้เลือกภาพคู่เดต ผลก็ยังได้คล้ายกับคราวก่อน

นักวิจัยเลยตั้งสมมุติฐานว่า คงจะเป็นจิตสำนึกที่ทำให้เลือกเช่นนั้น ด้วยความเคยชินกับความอดอยากยากจน ก็เลยต้องเลือกแบบพร้อมจะอดอยากด้วยกันได้มากกว่า

นักวิจัยทดสอบซ้ำอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย โดยเอารูปภาพสาวๆ ไปให้หนุ่มๆ เลือกตรงหน้า โรงอาหารของมหาวิทยาลัยเลย โดยเปรียบเทียบระหว่างการถามคนที่กำลังหิว และจะเข้าไปหาอะไรทานกับคนที่ทานอิ่มแล้วเดินออกมา ผลก็คือ พวกที่อิ่มจะเลือกสาวที่ผอมเพรียวมากกว่าเช่นกัน ดังนั้นหากจะทำให้หนุ่มๆ รวยๆ ประทับใจ สาวๆ คงต้องฟิตหุ่นให้เพรียวไว้นะครับ

พวก “มือใหม่หัดเดต” อาจจะมีปัญหาว่า ไม่รู้จะคุยอะไรกับคู่เดตในครั้งแรกสุดดี มีนักวิจัยลองไปเอาข้อมูลคำแนะนำจากเว็บไซต์หาคู่ต่างๆ มาวิเคราะห์แล้วก็สรุปว่า คำแนะนำดีๆ ก็คือจากมุมมองของผู้ชาย (ฝรั่ง)

เรื่องที่คุยได้หรือควรคุย 3 อันดับแรกก็คือ เรื่องลูก ! โดยสำรวจพบว่าผู้ชายมากถึง 41% อยากพูดคุย หรือรู้ความต้องการเรื่องลูกของคู่เดตตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นเดตกันแรกๆ ว่า มีความคิดอ่านเรื่องลูกเป็นอย่างไร ก่อนจะเดินหน้าคบกันต่อไป

อีกสองเรื่องก็คือ เรื่องงานที่ทำอยู่ โดยมีมากถึง 2 ใน 3 (66%) ของผู้ชายที่อยากคุยเรื่องนี้ และต้องการให้คู่เดตซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เช่น บอกตรงไปตรงมาว่า เคยแต่งแล้วหย่ามาก่อนหรือไม่ หรือมีลูกอยู่หรือเปล่า เป็นต้น

ส่วนเรื่องต้องห้าม ไม่ควรขุดขึ้นมาคุย ก็คือ เคยหลับนอนกับคนอื่นมามากน้อยเท่าใดแล้ว เรื่องนี้ผู้ชายราวๆ ครึ่งหนึ่งไม่อยากรู้ เรื่องเงินก็เช่นกัน ผู้ชายเพียง 8% เท่านั้นที่อยากรู้ตั้งแต่เดตแรกว่า คุณยากดีมีจนขนาดไหน และสุดท้ายรสนิยมความชอบในเรื่องเพศแบบแปลกๆ ... อันนี้ก็รอได้เช่นกันครับ

เรื่องต่อมาคือ อารมณ์ขัน นักวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ยผู้ชายจะมีอารมณ์ขันมากกว่าผู้หญิง และอารมณ์ขันนี่แหละเป็นแม่เหล็กดึงดูดทางเพศได้ตามธรรมชาติ ผู้ชายที่มีอารมณ์ขันมากกว่าจะหาคู่นอนได้มากกว่าตามไปด้วย เรื่องนี้ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ ในบ้านเราตลกอาชีพมีภรรยาสวยเป็นจำนวนมากนะครับ สมกับคำว่า “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” จริงๆ

ต่อมาที่อีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่ายสาวๆ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ และทำใจไม่ค่อยได้ก็คือ หนุ่มที่ควงอยู่ ทำไม๊ ทำไมจะต้องไปมองสาวอื่นที่เดินผ่านไปมาด้วย

มีงานวิจัยที่ทำที่ Prager University ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งสรุปว่า ไม่ว่าคู่ควงของคุณจะเป็นพวกซื่อสัตย์ เชื่อใจได้มากเพียงใดก็ตาม อย่าได้ไปหวังว่าจะห้ามไม่ให้มองหญิงอื่นได้ เพราะเรื่องนี้มันลึกอยู่ในสันดาน เอ้ย ยีน ครับ

ผู้ชายมีสัญชาตญาณในการมองสาวอื่นที่ไม่ใช่คู่ตน แถมรู้สึกว่ามีสาวคนอื่นๆ อีกมากที่ดึงดูดสายตามากกว่าแฟนตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้คิดนอกใจแฟนตัวเองแต่อย่างใดทั้งสิ้นก็ตาม คงคล้ายๆ กับแรงดึงดูดจากป้ายลดราคากระเป๋า รองเท้า ทำกับผู้หญิงประมาณนั้นกระมังครับ

ฉะนั้นเรื่องนี้แก้ยากมากๆ หรืออาจแก้ไม่ได้นะครับ แนะนำให้ทำใจครับ

เรื่องรูปร่างผู้หญิงที่ผู้ชายชอบก็ไม่เหมือนกับที่ผู้หญิงคิดนะครับ มีการนำรูปนางแบบที่เอาไปโฟโต้ชอปให้มีสัดส่วนหน้าอก เอว สะโพก ต่างๆ กันไป พบว่าในขณะที่ผู้หญิงคิดว่าหุ่นที่ค่อนข้าง สเลนเดอร์เป็นหุ่นที่เพอร์เฟค หนุ่มๆ กลับมองว่าหน้าอกและสะโพกที่ใหญ่กับเอวที่คอด จนดูคล้ายกับนาฬิกาทราย เป็นหุ่นที่เพอร์เฟคต่างหาก

งานวิจัยเรื่องรูปร่างหน้าตาของคู่สมรสก็อาจทำให้คุณประหลาดใจได้ เมื่อเอารูปคู่แต่งงานที่ได้สอบถามถึงระดับความพึงพอใจในชีวิตสมรสของตนไว้แล้ว มาให้อาสาสมัครลองให้คะแนนความดึงดูดใจของสามีและภรรยา

ผลที่ได้กลับหาความสัมพันธ์ใดๆ แทบไม่ได้เลย ยกเว้นเรื่องที่ว่าสามีคนไหนที่ได้คะแนนความดึงดูดใจมาก กลับเป็นพวกที่ระบุว่าไม่ค่อยพอใจสถานภาพการสมรสของตนเท่าใดนัก

อีกเรื่องหนึ่งที่งานวิจัยนี้พบก็คือ ในคู่ที่ฝ่ายภรรยาดูมีหน้าตาท่าทางดึงดูดใจนั้น ทั้งคู่จะมองชีวิตคู่ในทางบวกมากกว่าเฉลี่ย ซึ่งตรงกันข้ามกันเลยหากฝ่ายสามีเป็นฝ่ายที่ดึงดูดใจมากกว่า เพราะต่างก็มองชีวิตสมรสในแง่ลบมากกว่า ผู้ชายที่ดูดีกว่าภรรยามากๆ จึงเป็นพวกที่มีความสุขกับชีวิตสมรสน้อยกว่า

การมีสามีหล่อเหลาเท่สมาร์ท จึงอาจไม่ใช่เรื่องน่าดีใจเท่าไหร่นะครับ

หลายคนอาจสงสัยว่า ควรจะตัดสินใจแต่งงานสักอายุเท่าไหร่ดี มีงานวิจัยเรื่องนี้ด้วยนะครับ ทำโดยทีมของนิค วอลฟิงเกอร์ (Nick Wolfinger) จากมหาวิทยาลัยยูทาห์ และข้อสรุปของพวกเขาก็คือ อายุระหว่าง 28-32 ปี เหมาะที่สุดครับ จากสถิติพวกที่แต่งตอนอายุเท่านี้ หย่าน้อยที่สุด

ที่ว่ามาเป็นข้อมูลจากฝรั่งมังค่า บางเรื่องก็คงตรงกันกับคนไทย แต่บางเรื่องก็อาจผิดแผกไปได้บ้าง เอาเป็นว่าเป็นข้อมูลคร่าวๆ ประกอบการตัดสินใจในเรื่องความรัก