'วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ' ขายบิ๊กล็อตหุ้น STARKหวังเพิ่มฟรีโฟลทเข้าSET50

'วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ' ขายบิ๊กล็อตหุ้น STARKหวังเพิ่มฟรีโฟลทเข้าSET50

ผู้ถือหุ้นใหญ่ STARKขายบิ๊กล็อต 952 ล้านหุ้น คิดเป็น7.99% ที่ราคา 3.96 บาท มูลค่า 3.76 พันล้าน ให้ "นักลงทุนสถาบันในประเทศ- ต่างประเทศ-นักลงทุนบุคคล" หวังเพิ่มฟรีโฟลทหุ้น รองรับเกณฑ์ใหม่คำนวณดัชนี เซ็ท50 ของตลท. คาดรายได้ปีนี้โต 15-20%

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK วานนี้ (17 มี.ค.) ร่วงแรงในช่วงเช้า ทำจุดต่ำสุดที่ 4.04 บาท ลดลง 0.16 บาท หรือ3.80 % หลังพบรายการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่(บิ๊กล็อต) ที่ราคา 3.96 บาท ซึ่งต่ำกว่าในราคากระดาน รวม 18 รายการ ทั้งกระดานหลักและกระดานต่างประเทศ จำนวน952 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.99%ของทุนชำระแล้ว รวมมูลค่า 3,769.32 ล้านบาท  และราคารีบาวด์ขึ้นมาปิดตลาดที่ 4.10 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 2.38%

นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK กล่าวว่า หุ้นบิ๊กล็อตดังกล่าวเป็นการขายของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณหุ้นหมุนเวียน(ฟรีโฟลท)เพิ่มขึ้น เพื่อให้หุ้นของบริษัทถูกคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี SET 50  เพื่อรองรับเกณฑ์ใหม่ในการคำนวณดัชนีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งภายหลังจากการขายหุ้นครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีฟรีโฟลทเพิ่มเป็น 28.83% จากเดิมอยู่ที่ 20.84%

   

สำหรับหุ้นดังกล่าวขายให้แก่นักลงทุนบุคคล และนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ1. นักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งเป็นกองทุนรายใหม่เข้าถือหุ้น 3-4กองทุน และกองทุนเดิมที่ถือหุ้นของบริษัทแล้วต้องการถือหุ้นเพิ่ม

2.กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ประมาณ 10 กองทุน และ นักลงทุนอัลตาไฮเน็ตเวิร์คในประเทศซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่และผู้ถือหุ้นเดิมซื้อเพิ่ม

ทั้งนี้สาเหตุที่นักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศสนใจเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เนื่องจาก บริษัทมีกำไรปี2563 อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งดีกว่าที่โบรกเกอร์คาดไว้ ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรปีนี้ และในปีนี้ก็มีโบรกเกอร์มากขึ้น ที่ทำบทวิเคราะห์หุ้นของSTARK จึงทำให้นักลงทุนในใจเข้ามาลงทุนหุ้นของบริษัท

 นายชนินทร์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20%จากปี 2563 ที่มีรายได้รวม17,579.26 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในประเทศเติบโตจากภาครัฐมีเดินหน้าลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะมีส่วนที่ต้องใช้ยสายไฟฟ้า และมียอดขายที่มากขึ้น จากที่มีการควบรวมกับธุรกิจสายไฟฟ้าที่เวียดนาม รวมถึงยอดส่งออกเติบโตมากกว่า 50% จากปีก่อนมีสัดส่วนที่ 8% โดยประเทศที่มียอดขายสูงเช่น สหรัฐ

ทั้งนี้บริษัทคาดอัตรากำไรขั้นต้น(กรอสมาร์จิ้น) และอัตรากำไรสุทธิ(เน็ตมาร์จิ้น) เพิ่มขึ้น เพราะบริษัทเดินหน้าในการลดต้นทุนในการผลิต และจากที่บริษัทมีการควบรวมกับบริษัทที่เวียดนามนั้น ก็จะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ลดลงเช่นกัน