'ไข้หวัดใหญ่'จะมาแล้ว กลุ่มไหนไม่ควรพลาด'วัคซีน'

'ไข้หวัดใหญ่'จะมาแล้ว กลุ่มไหนไม่ควรพลาด'วัคซีน'

โรคทางเดินหายใจที่ต้องระวังทุกปีคือ "ไข้หวัดใหญ่" ซึ่งจำเป็นต้องฉีดวัคซีนทุกปี โดยเฉพาะ 7 กลุ่มเสี่ยง มีกลุ่มไหนบ้าง

ต้องรู้ก่อนว่า ระบบทางเดินหายใจของเรา ไม่ได้กำลังต่อสู้กับโคโรน่าไวรัสเพียงอย่างเดียว ในเช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวของทุกปี ยังมีไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) หรือ AKA “ไข้หวัดใหญ่” เล่นงานทางเดินหายใจให้เราไข้ขึ้น อ่อนเพลีย ปวดหัวซ้ำๆ 

โชคดีที่ไข้หวัดใหญ่ เป็นอาการป่วยที่มีมานาน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสาเหตุ เนื่องจากมาจากสายพันธุ์ influenza A และ influenza B

และยังมีสายพันธุ์ย่อยละ 2 รวมเป็น 4 ชนิด คือ H1N1, H3N2 จากสายพันธุ์ influenza A จัดเป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงของการระบาดสูง สามารถแพร่กระจายไปกว้างขวางทั่วโลก ที่คุ้นๆ กันในโรคต่างๆ เช่น ไข้หวัดสุกร, ไข้หวัดนก, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และตระกูล Victoria, Yamagata จากสายพันธุ์ influenza B เป็นกลุ่มที่พบได้ในมนุษย์ แพร่ระบาดได้ดีในสภาพแวดล้อมเย็นและแห้ง โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ดูเหมือนจะมีอันตรายมากกว่าที่เราเคยรู้จัก เพราะด้วยสารพัดสมาชิกในวงศาคณาญาติ ความหลากหลายของอาการ ลักษณะวิธีการติดต่อ

ไหนจะโอกาสกลายพันธุ์ที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นตอนไหนอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่างที่บอกไปแลวว่าทั้งโลกรู้จักคุ้นหน้าค่าตามันเป็นอย่างดี และยังได้พัฒนา “วัคซีนชนิดเชื้อตาย” ที่ใช้จัดการไข้หวัดใหญ่ อย่างแพร่หลายนานกว่า 60 ปีแล้วด้วย

161596771025

(เตรียมฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่)

แพทย์หญิง มัณฑนา สันดุษฎี อายุรแพทย์ด้านโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ และเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า วัคซีนไวรัสไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย มีทั้งแบบป้องกันได้ 3 สายพันธุ์ (2 ชนิดใน influenza A และ 1 ชนิดใน influenza B) สำหรับเน้นการป้องกันสายพันธุ์ที่ระบาดมากที่สุด และแบบ 4 สายพันธุ์ (2 ชนิดใน influenza A และ 2 ชนิดใน influenza B) ที่ถือเป็นการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันได้ครอบคลุม และช่วยลดโอกาสการแพร่ระบาดได้ดี

 “ปกติแล้ว สาธารณสุขจะรณรงค์การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี แต่สำหรับปี 2564 นี้ เพื่อไม่ให้สับสนกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อซ้ำซ้อน จึงได้มีแนวทางเลื่อนฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้เร็วขึ้นเป็นช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนสิงหาคม"

ถ้าอย่างนั้น“วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ต้องฉีดอย่างไร 

แพทย์หญิง มัณฑนา ให้ข้อมูลว่า สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้น และสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 9 ขวบที่ได้รับวัคซีนครั้งแรก ให้ฉีด 2 เข็มในปีแรกก่อน โดยเว้นระยะห่างการฉีดครั้งละ 1 เดือน แต่หากปีแรกได้ฉีดเพียงครั้งเดียว ให้ฉีด 2 ครั้งในปีถัดมา แล้วหลังจากนั้นค่อยฉีดปีละครั้งก็ได้

และ7 กลุ่มเสี่ยง ที่ควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างยิ่ง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน, เด็กเล็ก อายุ 6 เดือน – 2 ปี), ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด), ผู้สูงอายุ ตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้, ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ และผู้ที่เป็นโรคอ้วน ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก. และคำนวณค่า BMI ได้มากกว่า 35

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่มีสายพันธุ์ย่อยเยอะมาก กลายพันธุ์ได้ง่าย อีกทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะอยู่ที่ 70-90% (ขึ้นกับสายพันธุ์ของไวรัส) องค์การอนามัยโรค (WHO) จึงแนะนำถึงความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนทุกปี เพื่อทำการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายพร้อมรับมือกับเชื้อที่จะเข้ามา

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการได้รับวัคซีนอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เราปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่ 100% เพราะเราต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันไข้หวัดใหญ่ควบคู่กันไปด้วยแพทย์หญิง มัณฑนา กล่าว