SCB ตั้งเป้าขึ้นผู้นำ ‘ไพรเวทแบงก์กิ้ง’ของไทย ทะยานสู่พอร์ต 1ล้านล้านใน2ปี

SCB ตั้งเป้าขึ้นผู้นำ ‘ไพรเวทแบงก์กิ้ง’ของไทย ทะยานสู่พอร์ต 1ล้านล้านใน2ปี

ไทยพาณิชย์ เดินหน้าชู กลยุทธ์รุกตลาดไพรเวทแบงก์กิ้ง ภายใต้แนวคิด “BEAT THE BENCHMARK” ผ่าน 3 แกนหลัก หวังดันพอร์ตแตะ1ล้านล้าน ภายใน2ปี หนุนขึ้นแท่นผู้นำตลาด

161486060252           นายสารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยว่า ภาพรวมเวลธ์ทั่วโลก มีการคาดการณ์ว่าในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตกว่าปีละ 7% จากปี 2561 โดยเฉพาะในจีน และกลุ่มเอเชียแปซิฟิค1 ธุรกิจเวลธ์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าทรัพย์สินมีโอกาสเติบโตปีละ 5% โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (High Net Worth Individuals/ HNWIs) ขึ้นไป

     ไทยพาณิชย์มองเห็นโอกาสจากการเติบโตของตลาดและจากการเป็นสถาบันการเงินอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ที่มีฐานลูกค้าบุคคลมากกว่า 16 ล้านคน และมีฐานเงินฝากติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ทำให้ไทยพาณิชย์สามารถต่อยอดในการทำธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และสามารถช่วยวางแผนการเงินให้กับลูกค้าได้เต็มรูปแบบและครบวงจร ที่สำคัญธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) นับเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์องค์กรที่สร้างการเติบโตให้กับธนาคารอย่างยั่งยืนแทนธุรกิจเดิ

      ตั้งแต่ปี 2560 เราได้ดำเนินการตามแผนWealth Transformation จนกระทั่งในปี 2563 ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของ SCB Wealth ทำรายได้โตสวนกระแสทั้งธุรกิจการลงทุและธุรกิจประกันสร้างผลกำไรให้กับธนาคารกว่า 15% หรือคิดเป็นสัดส่วน 56% ของรายได้ที่มาจากค่าธรรมเนียม และด้วยความสามารถใการให้คำปรึกษา ธนาคารจึงได้วางเป้าหมายธุรกิจเวลธ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า ภายใต้แนวคิด BEAT THE BENCHMARK ที่มาจากการให้ความสำคัต่อการได้รับความเชื่อมั่และความไว้วางใจที่ลูกค้ามอบให้กับไทยพาณิชย์เราจึงทุ่มเทและเน้นในเรื่องของการดูแลให้คำปรึกษาด้านการบริหารพอร์ตการลงทุนของลูกค้าคัดสรรผลิตภัณฑ์ โซลูชันด้านการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดและเหนือกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดได้ (Beat the market) นอกจากนี้ รายังคงมุ่งมั่นพัฒนารูปแบบการให้บริการด้านการบริารความมั่งคั่ง (Wealth Management)อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา พร้อมยกระดับการให้บริการที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับลูกค้า SCB Wealth รวมถึงนักลงทุนชาวไทย และนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง(Set the new benchmark) โดยเป้าหมายหลักของธนาคาร คือ ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าเวลธ์ และเป็นส่วนสำคัญในการรับผิดชอบต่อสังคให้คนไทยมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินและการลงทุนอย่างเหมาะสม นาารัชต์ กล่าวเสริม

​    นายณรงค์ ศรีจักรินทร์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิ Wealthธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมของ SCB Wealth มีานลูกค้าจำนวนกว่า 300,000ราย โดยแบ่งออกป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้าSCB PRIME มีสิรัพย์ 2-10 ล้านบาท กลุ่ SCB FIRST มีสินทรัพย์ 10-50 ล้านบาท และกลุ่SCB PRIVATE BANKING มีสินทรัย์ 50 ล้านบาทขึ้นไป และเพื่อเป็นการขานรับยุทธศาสตร์องค์กรในการผลักดัธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง(Wealth Management)

     หนึ่งในธุรกิจหลักสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้กับธนาคารอย่างยั่งยืน เราจึงปรับกลยุทธ์การบริหารธุรกิจเวลธ์ ด้วยยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Wealth Transformation ตั้งแต่ปี 2560เพื่อสร้างรากฐานใหม่ในการทำธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management)

    โดยเน้นการสร้างขีดความสามารถในการให้คำปรึกษา (Advisory Capability) ควบคู่ไปกับรปรัOperating Modelพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันด้านการลงทุนในรูปแบบขอOpen Architecture ที่คัดสรรเป็นพิเศษจากพันธมิตรด้านการลงทุและประกันกว่า 35 แห่งเพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือด้านการลงทุน ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีและสามารถเพิ่มความมั่งคั่งนอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพของ RM (Relationship Manager) ให้มีความรู้ ความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเต็มรูปแบบอย่างมืออาชีพ

    ตอกย้ำบทบาทสำคัญของธนาคารในฐานะ Trusted Partner สิ่งต่างเหล่านี้ที่วางรากฐานไว้ได้ส่งผลให้สิ้นปี 2563 ที่ผ่านมาายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) เติบโตกว่า25% สำหรับกลยุทธ์หลักของกลุ่มธุรกิจ SCB Wealth ในปี 2564 จะโฟกัสและมุ่งเน้การเติบโตของเซกเมนต์ไพรเวทแบงก์กิ้ง ด้วยการเปิดตัวโฉมใหม่ของธุรกิ SCB PRIVATE BANKING กับกลยุทธ์ในการให้คำปรึกษาจากทีมผู้เชี่ยวชาญครบวงจรและเต็มรูปแบบ

     ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน PRIVATE BANKING ธนาคารไทยพาณชย์ กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ตลาดการเงินการลงทุนทั่ลกต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างสูงประกอบกับการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจ “ไพรเวทแบงก์กิ้ง” ที่แต่ละสถาบันต่างพร้อมใจกันขนโซลูชันทางการเงิน

      พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความมั่งคั่ง เข้ามาดูแลกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง สำหรัSCB PRIVATE BANKING ได้สร้างปรากการณ์ในปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่อยู่ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 850,000 ล้านบาท และหากพิจารณาเฉพาะ Investment AUM (ไม่รวมเงินฝาก)  จะมีสินทรัพย์อยู่ประมาณ 570,000 ล้านบาท

     และยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าได้สูงถึง 14.9% ในระยะเวลา 1 ปี (1 ม.ค. 31 ธ.ค. 2563) ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนประเภทความเสี่ยงปานกลางตามคำนิยามของ AIMC3

.    ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนารูปแบบการให้บริการจาก service-led เป็น advisory-led relationship ด้วยแผนบริหารการเงินการลงทุนที่ออกแบบเป็นพิเฉพาะลูกค้าแต่ละราย (Personalized Asset  Allocation) เพื่อเพิ่มโอกาสนการสร้าผลตอบแทนที่ดีบนความเสี่ยงที่ลูกค้าสามารถรับได้ โดยในปี 2564 นี้ SCB PRIVATE BANKING ยึด 3 กลยุทธ์แกนหลักอันเป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้แก่      

     1. Investment Solutions for Wealth Preservation วางแผนต่อยอดความมั่งคั่งส่วนบุคคลให้กับลูกค้า ด้วยทีมที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุนส่วนบุคคลระดับมืออาชีพ จัดพอร์การลงทุนให้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที โดยใช้เครื่องมืออันชาญฉลาดที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (data intelligence and optimization tools)
      รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายครบวงจร ทันกับสภาวะตลาดและเศรษฐกิจในรูปแบบของOpen Architecture เพื่อเข้าถึงทุกการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในสินทรัพย์หลากหลายประเภท กว่า 10,000 หลักทรัพย์และกองทุ ไม่ว่าจะป็น Public assets หรือ Private assets
     โดยปัจจุบันเชื่อมต่อถึง 19 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในไทย 23 ตลาดหลัๆ ทั่วโลรวมไปถึง มี Discretionary Portfolio Management อีกด้วย เพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
      2. Business Solutions for Wealth Creationบริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอย่างครอบคลุมรอบด้าน เน้นการสร้างความมั่งคั่งในทุกโอกาสการลงทุนแบบใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยนำเสนอโซลูชันใหม่ ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างสภาพคล่องหรือสร้างเงินใหม่ให้กับลูกค้า เช่น สินเชื่อเพื่อการลงทุนในรูปบต่าง ๆ  
      อาทิ SCB Property Backed Loan สินเชื่อเพื่อใช้ในการบริหารความมั่งคั่ง ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2563 ที่ผ่านมา สำหรับใช้เพิ่มกระแสเงินสด เพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดทุกจังหวะการลงทุน
    3. SCB Financial Business Group ผสานความแข็งแกร่งของกลุ่มไทยพาณิชย์ ที่ครบเรื่องทั้งด้านความรู้ และความชำนาญเพื่อเปิดกว้างด้านการลงทุ ครอบคลุมเรื่องธุรกิจ เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดSCB PRIVATE BANKING เป็นตัวแทนทุกกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การบริหารและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าทุก ช่องทาง  

​    หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของไทยพาณิชย์ คือารขยายฐานลูกค้ากลุ่มไพรเวทให้เติบโตไปพร้อมกับก้าวใหม่ของธนาคาร มุ่งมั่นพัฒนาในด้านต่าง ทั้งผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแบบครบวงจร บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอย่างครอบคลุมรอบด้านากบุคลากรระดับมืออชีและความแข็งแกร่งของกลุ่มไทยพาณิชย์ จะสามารถบริหารความมั่งคั่งที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า คาดว่าภายใต้3 กลยุทธ์หลักของ SCB PRIVATE BANKING ที่มุ่งพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจจะช่วยผลักดันให้ภายในสิ้นปี 2566 จะมี AUM แตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุดที่เหมาะกับความเสี่ยงของลูกค้า และนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ที่สามารถครองใจลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้งของเมืองไทย ดร.เมธินี กล่าวเสริม