P/Eหุ้นไทยนิวไฮ 40เท่า 'เฟทโก้'แนะดูฟอร์เวิร์ดพี/อี ยันน่าลงทุน

P/Eหุ้นไทยนิวไฮ 40เท่า 'เฟทโก้'แนะดูฟอร์เวิร์ดพี/อี ยันน่าลงทุน

“เฟทโก้”ชี้ P/Eหุ้นไทยพุ่ง40เท่า สะท้อนกำไรปี63ร่วงหนัก จากพิษโควิด ชี้ ควรดููฟอร์เวิร์ดพี/อีปีนี้ -ปีหน้า ถือว่าไม่แพง ยังเป็นตลาดน่าลงทุน 

       ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 มี.ค.) ปรับตัวขึ้นมาปิดตลาด 1,543.40 จุด เพิ่มขึ้น 40.04 จุด หรือ 2.66% มูลค่าการซื้อขาย 118,270.83 ล้านบาท รับข่าวดีบรรยากาศการลงทุนความเสี่ยงในตลาดหุ้นเริ่มลดลง จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจ บนความหวังการเปิดประเทศหลังประเทศไทยมีการกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19 มากขึ้นแล้ว และกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ไตรมาส 4 ปี 2563 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่P/Eหุ้นไทยพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 40.33 เท่า 

      นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,936.52 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3,129.37 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 2,998.20 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 9,064.10 ล้านบาท

          นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นแรง จากหลายปัจจัย เช่น  วัคซีน ซึ่งประเทศไทยเริ่มมีการฉีด และกระจายวัคซีน ซึ่งประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์มากจากวัคซีนมาก เพราะ เป็นประเทศการท่องเที่ยว หากมีการเปิดประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ส่งผลต่อจีดีพีฟื้นตัวได้ดี ,บอนด์ยิลด์สหรัฐเริ่มปรับตัวลดลง จากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะดูและให้บอนด์ยิลด์ไม่ให้ขึ้นแรง ทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ประกอบกับตลาดหุ้นไทยดัชนีปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นอื่น ที่ปรับตัวขึ้นสูงกว่าปี 2562 และทำสถิตสูงสุดใหม่(record high) แต่ดัชนีหุ้นไทยปัจจุบันยังต่ำกว่าสิ้นปี2562ที่ดัชนีอยู่ที่ 1,579.84จุด 

         ทั้งนี้ปัจจุบันถือว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน จากการฟื้นตัวได้ดีทั้งเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งการที่P/E หุ้นไทยอยู่ที่ 40.33 เท่า (3มี.ค.64)  เพราะคำนวณจากำไรบจ.ปี 2563 ที่ลดลง 30-40%จากปี2562 เพราะ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นปีที่ผิดปกติ โดยเฉพาะบมจ.การบินไทย ( THAI)ที่ขาดทุนสูงมาก ซึ่งไม่อยากให้นักลงทุนดูP/E ปัจจุบัน แต่ควรดูForward P/E ของปีนี้ และปีหน้ามากกว่า เพราะกำไรบจ.ที่ฟื้นตัวทำให้ P/E ปรับตัวลดลง 

       

          นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และในฐานะอดีตนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนเพราะ ปีนี้กำไรบจ.และเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดี เพราะคาดจะมีการเปิดประเทศ จากที่มีการกระจายฉีดวัคซีนโควิด-19  ซึ่งจะทำให้P/Eตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จากปัจจุบันที่ 40 เท่า เพราะคิดจากกำไรปี2563 ที่ปรับตัวลดลงจากผลกระทบโควิด-19มาก เพราะประเทศไทยพึ่งพาท่องเที่ยวและส่งออกสูง  โดยนักลงทุนควรมอง Forward P/E ของปีนี้ซึ่งถือว่าไม่แพง  รวมถึงกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ มั่นใจว่าจีดีพีไทยปีนี้จะโตได้4% ทำให้นักลงทุนมั่นใจจึงยอมซื้อหุ้นที่ราคาสูง จึงทำให้ดัชนีวานนี้ขึ้นแรง 

          ทั้งนี้นักลงทุนต้องระมัดระวังไม่เก็งกำไรมากจน ทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นมากเกินไปกว่าปัจจุบันพื้นฐาน แต่ควรเลือกลงทุนในบริษัทที่มีกำไรฟื้นตัว และราคายังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก โดยแนวโน้มเม็ดเงินต่างชาตินั้น เชื่อว่ายังไงก็ต้องเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะ เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มีขนาดใหญ่มากขึ้น และได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19มาก  

     

             

            นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม. ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล. เอเซียพลัส   กล่าวว่า  หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น และจากความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศ และกำไรบจ. ไตรมาส 4 ปี 2563 ออกมาดีกว่าคาด รวมทั้งคาดกำไรบจ.หลายบริษัทในไตรมาส1ปี 2564 ที่เริ่มฟื้นตัว   ขณะที่ P/E ปัจจุบันมองว่าไม่แพง เพราะหากประเมินจาก Forward P/E อยู่ที่ 23 เท่า         

         นายอภิชาติผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์  บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ดัชนีขึ้นแรง เพราะ ดัชนีขึ้นต่อเนื่องจากเป็นปัจจัยบวกจากเทคนิคที่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,530จุดจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร ซึ่งทำให้แนวโน้มมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ แต่อัพไซด์จะจำกัด มีโอกาสแตะที่ระดับ 1,560 จุด  โดยมองแนวรับที่ระดับ 1,530-1,535 จุุด แนวต้าน 

            ทั้งนี้จากที่Forward P/E ของปีนี้ที่ 21 เท่า จากคาดกำไรบจ.โต 27%จากปีก่อน  และปี 2565  P/Eที่ 17 เท่า กำไรบจ.โต 20% ซึ่งมองว่าForward P/E ปีนี้และปีหน้าถือว่าตึงตัวแล้ว แม้จะขึ้นช้ากว่าตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่าตลาดหุ้นไทย  ดังนั้นการลงทุนในหุ้นไทยจึงเหมาะกับการเทรดดิ้งมากกว่า โดยหากดัชนีลงควรซื้อ และหากขึ้นก็ควรขาย