ธีมวัคซีน-เปิดเมือง แรงหนุนฟื้นชีพหุ้นรพ.

ธีมวัคซีน-เปิดเมือง  แรงหนุนฟื้นชีพหุ้นรพ.

วัคซีนล็อตแรกเดินทางมาถึงประเทศไทยทั้งของ “ซิโนแวค” และ “แอสตร้า เซเนก้า” เป็นสัญญาณที่ดีต่อการผ่อนปรนจนไปถึงการเปิดเมืองของไทยในช่วงถัดไป เพราะไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้นแต่ต่างชาติและประเทศเพื่อบ้านต่างได้รับวัคซีนกันไปก่อนหน้านี้

ทำให้เริ่มมีการพูดถึง “วัคซีน พาสปอร์ต” เพื่อให้เดินทางได้

ภาคการท่องเที่ยวได้ประโยชน์แน่นอนรวมทั้ง “ธุรกิจเฮลท์แคร์ ” ของไทย ก็เช่นกัน ด้วยไทยสามารถใช้โปรโมทการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเข้ามากระตุ้น จากสถานการณ์การติดเชื้อภายในไทยอัตราน้อยกว่าประเทศอื่นและสาธารณสุขยังติดอันดับต้นๆของโลกอีกด้วย

เมื่อหันมาดูหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ที่แม้จะเป็นปัจจัยที่ 4 ในการดำรงชีวิต แต่ตลอดทั้งปี 2563 เจอภาวะลูกค้าในประเทศลดลง ต่างชาติเป็นศูนย์ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย บางโรงหันมาเพิ่มบริการ Telehealth และ Telemedicine เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมหลังโควิด จนทำให้รายได้ตลอดทั้งปี 2563 ลดลง จากปี 2562 กันถ้วนหน้า

โดยใน 7 โรงพยาบาลกลุ่มที่มีลูกค้าต่างชาติมากที่สุดหนีไม่พ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH มีสัดส่วนรายได้ลูกค้าต่างชาติ 60% รองมาคือ บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BDMS มีสัดส่วนรายได้ลูกค้าต่างชาติ 30% มีกำไรปี 2563 อยู่ที่ 1,204ล้านบาทลดลง 67% จากปีก่อน และ 7,214 ล้านบาท ลดลง 53.50% จากปีก่อน ตามลำดับ

ส่วนบริษัท ธนบุรี แฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG มีสัดส่วนรายได้ลูกค้าต่างชาติ 10% มีกำไรอยู่ที่ 62.42 ล้านบาท ลดลงมากสุดถึง 86 % จากปีก่อน ซึ่งนอกจากรายได้บริการทางการแพทย์แล้วยังมีรายได้จากการขายโครงการที่พักสุขภาพJin Welbeing ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

บริษัท บางกอก เชน ฮอลสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH สัดส่วนรายได้ต่างชาติ 12% พบว่าเป็นโรงพยาบาลไม่กี่โรงที่ทำกำไรเติบโตในช่วงโควิด -19 มีกำไรอยู่ที่ 1,229 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.70 % ซึ่งมาจากการรับตรวจหาเชื้อโควิดและฐานลูกค้าเป็นกลุ่มประกันสังคมที่ต้นปี 2563 มีการเพิ่มค่าหัวในกลุ่มนี้เป็น 1,440 ล้านบาทต่อราย

อย่างไรก็ตามภาพของธุรกิจเฮลท์แคร์ของไทยมองการฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2564 และเต็มตัวในปี 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน(ประเทศไทย) ยังมองภาพรวมในกลุ่มจากแผนจัดหาและกระจายวัคซีนของไทยเนื่องจากความชัดเจนในการจัดสรรทำให้เกิดความมั่นใจต่อการควบคุมการแพร่ระบาด และคาดว่าจะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อภายหลังที่มีการเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศ ซึ่งนำไปสู่การทยอยผ่อนคลายมาตรการให้ลูกค้าต่างชาติเข้ามารักษาในไทย

ปีนี้มองว่าภาครัฐ จะเป็นกลไลหลักในการจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายระยะแรก เพื่อให้ผลของวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนส่วน รพ.เอกชนและบริษัทยาต่างๆ คาดว่าจะเริ่มทยอยนำเข้าวัคซีนได้ช่วงครึ่งปีหลัง 2564 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ตามแผนให้บริการฉีดวัคซีนล็อตแรก 13 จังหวัดเป้าหมาย มองว่า รพ.เอกชน ที่ศึกษา และมีเครือข่าย รพ.ในพื้นที่ 13 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ BCH และ CHG อาจมีโอกาสร่วมให้บริการฉีดวัคซีน

สำหรับกลุ่มประชาชนเป้าหมายตามสิทธิรักษาพยาบาลภายใต้เงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วน BDMS, BH, THG มองว่าจะได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้ในครึ่งปีหลังน่าจะเริ่มเห็นแนวทางผ่อนคลายมาตรการให้ลูกค้าต่างชาติเข้ามารักษา สำหรับหุ้นเด่น เลือก BDMS และ CHG

โดยคงคำแนะนำ “Bullish” สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) ยังไม่ให้น้ำหนักต่อ downside ของประมาณการปี 2564 2) คาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้ฟื้นตัวจะมีกำไรรวมเพิ่มขึ้น 36% เติบโตสูงตามทิศทางการฟื้นตัวของ รพ.ขนาดใหญ่ และ รพ.ขนาดกลางเติบโตต่อเนื่อง และ 3) ราคาหุ้นกลุ่ม รพ.ที่ศึกษา ซื้อขาย PE ปี 2564 เฉลี่ย 38 เท่า เทียบเท่า +1.0SD PE ย้อนหลัง 5 ปี ถือว่ายังไม่แพงเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของกำไรกลุ่มฯ สำหรับหุ้นเด่นเลือก BDMS 24.70 บาท และ CHG 3.06 บาท