โบรก ชี้ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าร่วงเป็นจังหวะเข้าซื้อ เชื่อกำไรปีนี้โต

โบรก ชี้ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าร่วงเป็นจังหวะเข้าซื้อ เชื่อกำไรปีนี้โต

15 หุ้นโรงไฟฟ้าปี 63 กำไรสุทธิ 5.2หมื่นล้าน ลดลง 3.36% จากปีก่อนที่ 5.4 หมื่นล้าน เหตุโควิด ฉุดซีโอดีล่าช้า-ภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟลดลง “เอเซีย พลัส”คาดปี 64 กำไรฟื้น เล็งจ่ายไฟเข้าระบบเพิ่ม- ดีมานด์โต ชี้ “กัลฟ์” ปีนี้กำไรโตสูง 75% แตะ 7.83 พันล้าน

      หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า15 บริษัท รายงานผลประกอบการปี 2563 ออกมาครบถ้วนแล้ว โดยพบว่ามีกำไรสุทธิรวมกัน 5.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.36% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ล่าช้า รวมถึงความต้องการซื้อไฟฟ้าจากลูกค้าภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวลง

           ทั้งนี้ บริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากสุด คือ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มีกำไรสุทธิ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น85% จากปีก่อนที่มีกำไร 4.06 พันล้านบาท รองมาบมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) มีกำไรสุทธิ 1,508 ล้านบาท เติบโต 84.9% จากปีก่อนที่มีกำไร 815 ล้านบาท

         สำหรับบริษัทที่มีกำไรลดลงมากที่สุด คือ บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP)มีกำไรสุทธิ 813 ล้านบาท ลดลง 62% จากปีก่อนที่มีกำไร 2.13 พันล้านบาท และ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ที่มีกำไรสุทธิ 405 ล้านบาท ลดลง 41.4% จากปีก่อนที่ 769 ล้านบาท

          

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส  เปิดเผยว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา ภาพรวมกำไรของกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นไปตามที่ตลาดคาด เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระบาด โดยแนวโน้มกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2564 คาดเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เพราะ มีโรงไฟฟ้าที่จะCOD และเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ และคาดลูกค้าภาคอุตสาหกรรมจะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ดีขึ้น

   ทั้งนี้หุ้นเด่นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ คือบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ( GULF ) เนื่องจากคาดกำไรปกติปีนี้เติบโต 75% จาก 4.28 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 7.83 พันล้านบาท   เพราะการเปิด COD โครงการโรงไฟฟ้าใหม่รวม 1,381.70 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังมีรายได้เงินปันผลจากการถือหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เพิ่มขึ้นเป็น14.4% จากปีก่อนที่ 8%  โดยให้ราคาเหมาะสม  38.50 บาท  ถัดมาบมจ. บี.กริม เพาเวอร์( BGRIM) คาดกำไรสุทธิปี 2564 เติบโต 59% จาก 2.17พันล้านบาท มาอยู่ที่ 4.17พันล้านบาท  มีปัจจัยหนุนคือราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนหลักของบริษัทปรับตัวลดลง

   

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง  กล่าวว่า  ราคาหุ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลง ภายหลังประกาศกำไรไตรมาส 4 ปี2563 โดยคาดว่าเป็นผลจากที่นักลงทุนกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น ทำให้ต้นทุนการขยายกำลังการผลิต และการออกหุ้นกู้ปรับตัวสูงขึ้น 

อย่างไรก็ดี หุ้นโรงไฟฟ้าที่สัดส่วนธุรกิจไฟฟ้าแบบใหม่ค่อนข้างสูง เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไฟฟ้า ที่มีแนวโน้มการเติบโตดี ยังเป็นกลุ่มที่น่าเข้าลงทุน ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ารูปแบบเดิม (Conventional) คาดเติบโตได้จำกัด โดยเฉพาะการหาโปรเจคใหม่เข้ามาหนุนผลประกอบการ

 สำหรับหุ้นที่บริษัทแนะนำเป็นหุ้นที่มีกำไรเติบโต ได้แก่GULF   คาดกำไรปี 2564 เติบโต 78.89% มาอยู่ที่ 7.66พันล้านบาท โดยให้ราคาเหมาะสม 45 บาท   ,GPSC  คาดกำไรเติบโต 8.76% มาอยู่ที่ 8.16 พันล้านบาท โดยให้ ราคาเหมาะสม 90 บาท, BGRIM  คาดกำไรเติบโต 46.44% มาอยู่ที่ 3.18 พันล้านบาท  โดยให้ราคาเหมาะสม 59  บาท และ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO)  คาดกำไรเติบโต 23.67% มาอยู่ที่ 1.08 หมื่นล้านบาท ให้ราคาเหมาะสมที่ 249 บาท

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แม้กำไรสุทธิปี 2563 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าจะหดตัวลงเล็กน้อยจากปี 2562 แต่พบว่าในบางบริษัท ได้แก่ GULF และ EA รายงานกำไรดีกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้งมองว่าราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลงหลังประกาศกำไร เป็นโอกาสเข้าซื้อสะสม โดยแนะนำ EA เป็นหุ้นเด่น ให้ราคาเหมาะสม 76 บาท