‘เอสเอ็มอี’ ขึ้นบัญชีกับ ‘สสว.’ รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ 1.3 ล้านล้านบาท

‘เอสเอ็มอี’ ขึ้นบัญชีกับ ‘สสว.’ รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ 1.3 ล้านล้านบาท

"เอสเอ็มอี" ขึ้นบัญชีกับ "สสว." รับโอกาสเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎเกณฑ์ภาครัฐ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ เป็นรากฐานสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ

เมื่อวันที่ 1 มี.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม  ได้ย้ำในหลายวาระว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างโอกาสทุกด้านแก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ให้มีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากผู้ประกอบการ "เอสเอ็มอี" ที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านรายเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีการจ้างงานทั่วประเทศอยู่กว่า 12 ล้านคน และยังเป็นแหล่งพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ 

ล่าสุด ได้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุ และวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 กฎหมายฉบับนี้จะเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปีได้มากยิ่งขึ้น  เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้า หรือบริการของเอสเอ็มอีที่ขึ้นบัญชีไว้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในวงเงินไม่น้อยกว่า 30% ของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่อยู่ในบัญชีรายชื่อดังกล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงอยากขอเชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ขึ้นบัญชีผู้ประกอบการและรายการสินค้าและบริการในระบบที่ "สสว." จัดทำขึ้น ผ่านเว็บไซต์ www.thaismegp.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนได้นั้น ครอบคลุมทั้งที่เป็นนิติบุคคล บุคคลธรรมดา หรือวิสาหกิจชุมชน มีคุณสมบัติเป็นไปตามนิยาม "เอสเอ็มอี" ที่ "สสว." กำหนด คือ หากอยู่ในภาคการผลิต จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ส่วนภาคการค้าและบริการ จะต้องมีรายได้ไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อปี

“เมื่อขึ้นบัญชีกับ สสว.แล้ว จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐในแต่ละจังหวัดได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ด้วยแต้มต่อ 10% ในการแข่งราคาด้วยวิธีอี-บิดดิ้ง ด้วย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนผ่านระบบที่ สสว. พัฒนาขึ้นที่ www.thaismegp.com นั้น จะเป็นการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมแนบหลักฐานการจัดตั้งธุรกิจ ได้แก่ สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล/ทะเบียนพาณิชย์ หรือหลักฐานการจดทะเบียนกับหน่วยงานราชการ เอกสารแสดงรายได้ ได้แก่ งบการเงินปีล่าสุด /เอกสารหรือหลักฐานแสดงรายได้ เช่น แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และรอรับ sms แจ้ง Username และ Password เพื่อเพิ่มรายละเอียดและรูปภาพในระบบ 

 “รัฐบาลเชื่อว่าแนวทางนี้จะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีเข้มแข็งและเติบโตได้มากขึ้น สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้ ซึ่งในระยะต่อไปจะยังคงมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคเพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้เอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นผู้ประกอบการที่เป็นฐานรากที่สำคัญของเศรษฐกิจทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งจ้างงานและผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว