‘เสียวหมี่' ตั้งเป้าท็อป 3 สมาร์ทโฟนไทย เพิ่มงบตลาดเท่าตัว

‘เสียวหมี่' ตั้งเป้าท็อป 3 สมาร์ทโฟนไทย เพิ่มงบตลาดเท่าตัว

“เสียวหมี่” เร่งเกมลุยหนักสมาร์ทโฟนไทย ประเดิมส่งเรือธง 5จี “หมี่ 11” เจาะตลาดระดับพรีเมียม เดินหน้าเพิ่มงบลงทุนการตลาดเป็นเท่าตัว พาเหรดผลิตภัณฑ์ใหม่ลงตลาดต่อเนื่อง พร้อมขยายช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์-ออฟไลน์

สำหรับแนวทางการทำตลาดปีนี้ ประเดิมด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง 5จี รุ่น “Mi 11” เพื่อลุยตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมในประเทศไทย มาพร้อมหน้าจอ 6.81 นิ้ว อัตราการรีเฟรชสูงสุด 120 Hz ขุมพลังควอลคอมสแนปดรากอน 888 แรม 8 กิกะไบต์ ชุดกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เลนส์อัลตร้าไวด์ 13 ล้านพิกเซล เลนส์เทเลมาโคร 5 ล้านพิกเวล และกล้องหน้าแบบ Punch Hole 20 ล้านพิกเซล พร้อมเอไออัจฉริยะ 6 โหมด

นอกจากนี้ โดดเด่นด้วยระบบบันทึกเสียงแบบภาพยนต์ ระบบเสียงทรงพลังจาก Harman Kardon แบตเตอรีจุ 4600 มิลลิแอมป์ รองรับการชาร์จไร้สายสูงสุด 50W แบบมีสายสูงสุด 55W เปิดให้พรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.-12 มี.ค. วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 13 มี.ค. มีให้เลือก 2 สี เทาและน้ำเงิน ราคาเริ่มต้น 21,990 บาท

อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมการทำตลาดของบริษัทจะทำอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มราคา นอกจากสมาร์ทโฟน ยังมีผลิตภัณฑ์เอไอและอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(เอไอโอที) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากกว่าพันรายการ ในไทยนำเข้ามาทำตลาดแล้วมากกว่า 200 รายการ และจะทำงานอย่างหนักเพื่อนำเข้ามามากขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยมากที่สุด โดยมีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ทุกเดือน

ปี 2563 เสียวหมี่สามารถขึ้นไปครองอันดับ 3 สมาร์ทโฟนโลก ปัจจุบันทำตลาดอยู่ใน 54 ตลาดทั่วโลก ครองอันดับท็อป 3 ใน 36 ตลาด และอันดับ 1 ใน 10 ตลาด ที่โดดเด่นอย่างมาก สามารถเติบโต 3639% ในไฮเอนด์เซ็กเมนท์ เป็นแบรนด์ที่เติบโตได้เร็วที่สุดในเซ็กเมนท์นี้ ขณะที่ในประเทศไทยเติบโตมากถึง 234% ครองอันดับ 4

“กุญแจความสำเร็จมาจากการทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพในราคาที่จับต้องได้ มีตัวเลือกที่หลากหลาย ขณะเดียวกันมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังอีคอมเมิร์ซมากขึ้น รองรับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่”

เขากล่าวว่า ปีนี้จะเพิ่มนำ้หนักการทำตลาดในไทยมากขึ้น ทั้งด้านการเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มสมาร์ทโฟนและเอไอโอที การตลาด รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งบนออนไลน์และออฟไลน์ โดยปีนี้มีแผนเปิดตัวหมี่สโตร์เพิ่ม จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 30 สาขา จะเพิ่มให้ได้ถึง 100 สาขา และจากที่มีหน้าร้านอยู่ประมาณ 4 พันจุด จะเพิ่มไปเป็น 8 พันจุด

นอกจากนี้ เพิ่มการลงทุนด้านการตลาด โดยใช้งบประมาณการลงทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว เพิ่มศูนย์การให้บริการจาก 12 แห่งเป็น 25 แห่ง เปิดตัวคอลเซ็นเตอร์ภาษาไทย เพิ่มจุดส่งซ่อม ให้บริการรับเครื่องซ่อมถึงบ้าน แม้ภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน แต่เสียวหมี่เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ เชื่อด้วยว่าไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ทั้งมีปัจจัยบวกจากการมาของ 5จี

จากข้อมูลของบริษัทวิจัยคานาลิส เมื่อไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา เสียวหมี่มีส่วนแบ่งการตลาดในไทยประมาณ 11% ครองอันดับ 4 ส่วนปีนี้เชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้มากขึ้น และหวังว่าจะขึ้นไปอยู่อันดับท็อป 3 ได้ในเร็วๆ นี้ ไทยนับเป็นตลาดระดับท็อปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเสียวหมี่ให้ความสำคัญและจะเพิ่มนำ้หนักการตลาดในระดับท้องถิ่นมากขึ้น