ถึงเวลา'จีน-สหรัฐ'รีเซ็ตสัมพันธ์ทวิภาคี

ถึงเวลา'จีน-สหรัฐ'รีเซ็ตสัมพันธ์ทวิภาคี

“หวัง อี้”รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน กล่าวว่าสหรัฐและจีนควรทำงานร่วมกันในประเด็นต่างๆที่เป็นปัญหาของโลก เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หากว่าทั้งสองฝ่ายปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมา

หวังยังบอกด้วยว่า รัฐบาลจีนพร้อมจะหวนกลับมาหารืออย่างสร้างวรรค์กับรัฐบาลสหรัฐหลังจากความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษในยุคอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ยังเรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตันยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากจีนและยกเลิกมาตรการคุมเข้มแก่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน ซึ่งหากสหรัฐทำได้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับความร่วมมือระหว่างสหรัฐและจีน

หวัง ซึ่งแสดงความเห็นและเรียกร้องเรื่องนี้ในโอกาสกล่าวบนเวทีประชุมจัดโดยกระทรวงต่างประเทศ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐเคารพในผลประโยชน์หลักของจีน เลิกใส่ร้ายป้ายสีพรรคคอมมิวนิสต์จีน เลิกแทรกแซงกิจการในต่างประเทศของรัฐบาลจีนและเลิกร่วมมืออย่างลับๆกับกองกำลังแบ่งแยกดินแดนเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน

“ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา สหรัฐได้ยุติการเจรจาทวิภาคีในทุกระดับกับจีน เราพร้อมที่จะติดต่อสื่อสารกับสหรัฐและหารือทวิภาคีร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งการหารือทางโทรศัพท์ในช่วงที่ผ่านมา ระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโจ ไบเดนเมื่อไม่นานมานี้เป็นก้าวย่างเชิงบวก”หวัง กล่าว

ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐและจีนขัดแย้งกันในหลายประเด๋็น รวมทั้ง กรณีพิพาททางการค้า การที่สหรัฐกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง และการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติของรัฐบาลปักกิ่ง

ขณะที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่งสัญญาณว่ายังคงใช้นโยบายกดดันรัฐบาลจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดน ยังแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำการค้าอย่างไม่ยุติธรรมและบีบบังคับของรัฐบาลจีนแต่ไบเดนก็ให้คำมั่นว่าจะดำเนินแนวทางที่หลากหลายมากขึ้นกับจีนและพร้อมจะร่วมมือกับรัฐบาลปักกิ่งในประเด็นต่างๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการเกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลเกาหลีเหนือล้มเลิกโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เจเน็ต เยลเลน” รมว.การคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันชุดปัจจุบันของประธานาธิบดีไบเดน มีมติให้ใช้มาตรการกำแพงภาษีที่กำหนดโดยรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อสินค้าหลากหลายชนิดของจีนต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่งแต่ก็เปรยว่าจะมีการทบทวนความเหมาะสมในเรื่องนี้ในอนาคต

ขณะที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า กำลังพิจารณานโยบายความมั่นคงทั้งหมดของรัฐบาลทรัมป์ และ ข้อตกลงการค้าชั่วคราวที่อดีตผู้นำสหรัฐลงนามร่วมกับจีน เมื่อเดือน ม.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งจีนจะเพิ่มมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐทั้งผลิตภัณฑ์เกษตรและสินค้าเทคโนโลยี ส่วนสหรัฐลดกำแพงภาษีจาก 15% ลงมาอยู่ที่ 7.5% ต่อมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีน 120,000 ล้านดอลลาร์

ที่ผ่านมา โฆษกทำเนียบขาว"เจน ซากี" บอกว่า คณะบริหารของประธานาธิบดีไบเดนจะใช้ความอดทนกับจีน ขณะเดียวกันก็จะทบทวนการดำเนินนโยบายกับจีน โดยรับฟังความเห็นจากพันธมิตร

“จีนมีความเป็นเผด็จการมากขึ้นในบ้านของตัวเอง และแผ่อิทธิพลในโลก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน รัฐบาลจีนกำลังท้าทายความมั่นคง ความรุ่งโรจน์ และคุณค่าของเราอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้สหรัฐจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีแบบใหม่” นางซากีกล่าวในช่วงแถลงข่าวประจำวัน และให้ความเห็นว่าคณะบริหารของปธน.ไบเดน ต้องการใช้ความอดทนในการดำเนินยุทธศาสตร์กับจีน

ซากี ยังกล่าวด้วยว่า คณะบริหารชุดนี้ต้องการหารือร่วมกับพันธมิตรของสหรัฐ รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกัน และเดโมแครตในสภาคองเกรส เพื่อประเมินว่าจะสานสัมพันธ์กับจีนอย่างไร

แต่นักวิเคราะห์การเมืองก็มีความเห็นว่าการทบทวนนโยบายของไบเดนโดยรับฟังความเห็นของเหล่าพันธมิตร โดยเฉพาะประเทศในเอเชียที่เปรียบเหมือน“รัฐสวิงสเตท” เมื่อต้องให้เลือกข้างระหว่างสหรัฐและจีนเพราะประเทศเหล่านี้มองว่าทั้งจีนและสหรัฐต่างมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป โดยในส่วนของสหรัฐ มีจุดแข็งคือความมั่นคงทางการเมือง ส่วนจีน มีจุดแข็งอยู่ที่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ