โบรกคาดกำไรกลุ่มปตท.ปีนี้ทะลุแสนล้าน อานิสงส์ดีมานด์ฟื้น-ราคาน้ำมันพุ่ง

โบรกคาดกำไรกลุ่มปตท.ปีนี้ทะลุแสนล้าน อานิสงส์ดีมานด์ฟื้น-ราคาน้ำมันพุ่ง

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี คาดกำไรกลุ่มปตท.ปี64 ปรับตัวขึ้นยกแผง จากปีก่อน เหตุ เศรษฐกิจโลก ดีมานด์ฟื้น ราคาน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น สเปรสปิโตรเคมีสูงขึ้น  ด้านบล.หยวนต้า คาดกำไรปีนี้กลุ่มปตท.ปีนี้ที่ 1.28 แสนล้าน โต กว่าเท่าตัว จากปีก่อน ที่ 5.36 หมื่นล้าน 

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรของบริษัทในกลุ่มปตท.ปี 2564 จะปรับตัวดีขึ้นทุกบริษัท เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งปีนี้บริษัทคาดน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่52.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจากปี 2563 อยู่ที่ 42.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้มาร์จิ้น ส่วนต่าง(สเปรด)ค่าการกลั่น และสเปรดปิโตรเคมีสูงกว่าปีก่อน

ทั้งนี้บมจ.ปตท.(PTT)คาดมีกำไรสุทธิที่ 71,747 ล้านบาท 89.98%จากปีก่อน และคาดกำไรปกติต่อหุ้น(core EPS)เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.51 บาท และจากที่บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR)เข้าเทรดและมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)ปรับตัวขึ้นจาก 3.6 แสนล้านบาทจากก่อนไอพีโออยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มแวลูให้กับทาง PTT บมจ.ซึ่งบริษัทแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 52 บาทต่อหุ้น

ส่วนบมจ ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)คาดกำไร27,992 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.50%จากปี 2563 core EPSอยู่ที่ 705 บาท แต่จากที่ราคาหุ้นปรับตัวใกล้ราคาเป้าหมายที่บริษัทประเมินไว้ที่ 118 บาท จึงแนะนำถือ แต่นักลงทุนสามารถซื้อเก็งกำไรตามราคาน้ำมันได้

ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นบริษัทแนะนำซื้อบมจ.ไทยออยล์ (TOP)ความต้องการน้้ำมันเพิ่มขึ้น และธุรกิจท่องเที่ยวคาดฟื้นตัวจากที่จะมีการเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศส่งผลดีต่อธุรกิจการบินทำให้ยอดขายน้ำมันอากาศยานฟื้นตัว ส่วนค่าการกลั่นฟื้นตัวคาดปีนี้อยู่ที่ 2 ดอลลาร์ จากปีก่อนที่ 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวมถึง TOPมีการขายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ปีนี้มียอดขายดีขึ้น โดยคาดปีนี้พลิกกลับมีกำไร 3,383 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน3,302 ล้านบาท จึงแนะนำซื้อ ให้ราคาเหมาะสมที่ 67 บาท

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีแนะนำPTTGC จากที่ทุกธุรกิจทั้งอะโรเมติกส์ โอเลฟินส์ และโรงกลั่นดีขึ้น คาดมีกำไรสุทธิ12,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,997.5%จากปีก่อนมีกำไร200 ล้านบาท โดย ให้ราคาเหมาะสมที่ 75.50 บาท

       

นายจักรพงศ์  เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส  บล. กสิกรไทย กล่าวว่า คาดแนวโน้มผลประกอบการกลุ่มปตท.เชื่อว่า ปีนี้มีโอกาสเติบโตได้เท่าตัวจากปีก่อน ซึ่งฟื้นตัวตามราคาน้ำมัน และดีมานด์ทั่วโลกที่ฟื้นตัว ทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ดีเซล มีการฟื้นตัวตามวัคซีนโควิด-19ทั่วโลก ดังนั้นจึงหนุนมาร์จินกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น ปิโตรเคมี ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง 2564 ที่จะเห็นผลบวกต่อกลุ่มชัดเจน เพราะกลุ่มนี้ ได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ผลงานทั้งกลุ่มกลับมาเทิร์นอะราวน์ค่อนข้างมากหากเทียบกับปีก่อนหน้าได้

       “กลุ่มปตท.จะได้ผลบวกจากหลายปัจจัย ทั้งจากวัคซีนทั่วโลกที่เริ่มฉีด ดีมานด์ทั่วโลกฟื้นตัว เศรษฐกิจเป็นขาขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อทั้งกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นโรงกลั่น น้ำมัน หรือปิโตรเคมี ให้มีแนวโน้มมาจิ้นดีขึ้นในปีนี้ ดังนั้นเรามองผลงานทั้งกลุ่มเทิร์นอะราวน์เท่าตัวหากเทียบกับปีก่อน และปีก่อนผลประกอบการบางบริษัทติดลบไปเยอะ ตั้งแต่จะเห็นการฟื้นตัวมากในปีนี้”

     สำหรับคำแนะนำแนะนำซื้อทั้งกลุ่ม ทั้งกลุ่มโรงกลั่น น้ำมัน ปิโตรเคมี ตามเทรนด์โลกที่เป็นขาขึ้น ดังนั้นให้ราคาเหมาะสมของ PTTEP อยู่ที่ 112 บาท และ PTTGC ที่ 70 บาท TOP ที่ 63.25 และ IRPC ที่ 3.90 บาท

      ด้านนายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2564 ของกลุ่มปตท. จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งกำไรสุทธิจะกลับมาแตะหลักแสนล้านบาทอีกครั้ง โดยประเมินกำไรสุทธิทั้งกลุ่มที่ 128,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138.80% จากปี 2563 ที่ 53,600 ล้านบาท(ไม่รวมOR)

ทั้งนี้มองว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวในทุกกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำของ PTTEP ที่ปริมาณขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ดี  ส่วนธุรกิจก๊าซราคาขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปีก่อนที่ระดับ 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนก๊าซคาดว่าจะลดลงราว 6% จากปีก่อน หนุนมาร์จินปรับตัวดีขึ้น

ธุรกิจขั้นปลายทั้งปิโตรเคมีและโรงกลั่นจะเร่งตัวขึ้นเช่นกัน อัตรากำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามค่าการกลั่น ซึ่งกลุ่มปตท. คาดการณ์ค่าการกลั่นที่สิงคโปร์เฉลี่ยปีนี้ที่ 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 0.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้น รวมทั้ง ยังได้รับอานิสงส์จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องโครงการใหม่ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

“กำไรปี 2563 ลดลงในแทบทุกธุรกิจ มีเพียงแค่โรงไฟฟ้าที่ยังขยายตัวได้ จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ทำให้ดีมานด์และราคาขายปรับตัวลดลง โดยมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 9.2 พันล้านบาท และมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์อีก 9.5 พันล้านบาท แต่ปีนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น โควิดเริ่มคลี่คลายคงไม่ต้องกลับไปล็อกดาวน์แบบเข้มงวดเหมือนปีก่อน ปีนี้ไม่น่าจะขาดทุนจากสต็อกแล้ว กำไรปกติของ PTT ทำไว้ที่ 8.2 หมื่นล้านบาท โต 130%”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกลุ่มปตท. ยังคงแนะนำซื้อหุ้น PTT และ บ PTTGC โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 47 บาท และ 75 บาท ตามลำดับ ส่วนตัวอื่นแนะนำซื้อเก็งกำไร (Trading)

 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PTTGC และ PTT ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้วตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งในระยะสั้นราคาน้ำมันดิบมีโอกาสพักฐาน หลังซาอุดิอาระเบียเตรียมเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งต้องรอติดตามความชัดเจนในการประชุมกลุ่มโอเปกวันที่ 3-4 มี.ค. นี้ ดังนั้น จึงแนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว