STA-STGT ออร่าจับ - สตอรี่บวกเพียบ!

STA-STGT ออร่าจับ - สตอรี่บวกเพียบ!

ร้อนแรงสุดๆ ไปเลยสำหรับหุ้นแม่ลูกสุดฮอต! ในกลุ่มยางพารา บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ที่ราคาหุ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งติดจรวด พร้อมกับข่าวดีที่ปล่อยออกมาเพียบ!

ไล่มาตั้งแต่ผลประกอบการที่ต้องบอกเลยว่าสมราคาคุย ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง โตกระฉูดทั้งแม่และลูก โดย STA พลิกกลับมามีกำไรได้อย่างสวยงาม 9,531 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 149 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายและการให้บริการเติบโต 25% จาก 60,286 ล้านบาท เพิ่มเป็น 75,479 ล้านบาท

รับอานิสงส์จากความต้องการใช้ยางธรรมชาติในตลาดโลกที่เติบโตแรง ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยอดขายและยอดผลิตรถยนต์ในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการใช้ยางเพื่อผลิตยางล้อรถยนต์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะจากประเทศจีนที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี หนุนให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง

ส่วนที่เป็นดาวเด่นจริงๆ คงต้องยกตำแหน่งให้ “ถุงมือยาง” ของบริษัทลูก STGT ดีมานด์เพิ่มขึ้นมหาศาลตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนบริษัทผลิตแทบไม่ทัน หลังถุงมือยางกลายเป็นสิ่งจำเป็นยุคโควิดเพื่อใช้ป้องกันเชื้อโรค

ฮิตขนาดไหนดูได้จากความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% หรือ เพิ่มขึ้นราว 3.56 แสนชิ้น โดยมีออเดอร์มาจากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการแพทย์เหมือนในอดีต ขณะที่ราคาขายพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีสินค้าไม่พอกับความต้องการ

ประกอบกับโรงงานของ “ท้อปโกลฟ” ผู้ผลิตถุงมือยางยักษ์ใหญ่เบอร์ 1 ของโลก ในประเทศมาเลเซีย ต้องหยุดการผลิตไปหลายเดือน หลังมีพนักงานติดโควิด ยิ่งทำให้ซัพพลายถุงมือยางในตลาดโลกขาดแคลน โดยบริษัทได้รับอานิสงส์จากลูกค้าท้อปโกลฟที่ต้องหาผู้ผลิตรายอื่นมาชดเชย

ส่งผลให้ผลประกอบการของ STGT ในฐานะผู้ผลิตถุงมือยางอันดับ 3 ของโลก พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โกยกำไรเข้ากระเป๋าไปทั้งหมด 14,401 ล้านบาท โตอย่างมโหฬาร 2,246% จากปีก่อนที่มีกำไรแค่ 614 ล้านบาท หลังรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 154% จาก 11,994 ล้านบาท เป็น 30,405 ล้านบาท

นอกจากงบฯสวยแล้ว ยังปันผลงามด้วย STA จ่ายปันผลงวดไตรมาส 4 ปี 2563 อีก 1.75 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 12 เม.ย. และจ่ายจริง 29 เม.ย. ส่วน STGT จัดให้ 2 บาท โดยจะขึ้น XD 12 เม.ย. และจ่ายจริง 28 เม.ย.

ปัจจัยบวกไม่ได้หมดแค่นี้ เพราะล่าสุด STA ขออินเทรนด์รับกระแสปลดล็อกกัญชงกัญชา โดยเตรียมจะขอใบอนุญาต “ปลูกกัญชง” ภายในเดือน มี.ค. นี้ และจะมีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ มาปลูกบนที่ดินของบริษัทใน 3 จังหวัด ได้แก่ น่าน, สกลนคร และชัยภูมิ นำร่องก่อนประมาณ 100-200 ไร่

เบื้องต้นคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตปลูกกัญชงในเดือน มิ.ย. ใช้เวลาปลูกราว 4 เดือน น่าจะเริ่มได้ผลผลิตล็อกแรกประมาณเดือน ต.ค. ซึ่งจะขายส่วนต่างๆ ของกัญชงให้กับโรงงานสกัดน้ำมันกัญชงต่อไป ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง มีโอกาสเติบโตสูง สามารถต่อยอดได้อีกเยอะ โดยบริษัทมีที่ดินเปล่าอีกมากกว่า 2 พันไร่ ซึ่งหากประสบความสำเร็จมีแผนที่จะขอใบอนุญาตสกัดน้ำมันกัญชงด้วยในอนาคต

ส่วน STGT แนวโน้มผลประกอบการยังแข็งแกร่ง เชื่อว่าความต้องการถุงมือยางจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้จะมีวัคซีนโควิด-19 เพราะแน่นอนว่าไม่ใช่มีวัคซีนแล้วสถานการณ์จะคลี่คลายในทันที ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป และเมื่อมีการใช้ถุงมือยางจนชินดีมานด์ก็คงไม่ได้ลดลงมาก

ประกอบกับการแตกพาร์จากหุ้นละ 1 บาท มาเหลือ 0.50 บาท ช่วยเพิ่มสภาพคล่องมากขึ้น รายย่อยซื้อง่ายขายคล่อง รวมทั้งน่าจะดึงดูดความสนใจจากบรรดานักลงทุนสถาบันที่พิจารณาสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของแต่ละบริษัทเข้ามาลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้ STGT ยังมีแผนนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (Secondary Listing by way of Introduction) บนกระดานหลัก (Main Board) โดยไม่ได้มีการออกหุ้นใหม่ แต่จะนำหุ้นเดิมบางส่วนเข้าไปซื้อขาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างส่งเอกสารให้ทางการสิงคโปร์พิจารณา

ถือเป็นอีกหนึ่งสตอรี่ที่น่าสนใจ ทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้น และขยายฐานนักลงทุนกลุ่มๆ ใหม่ โดยคาดหวังว่าน่าจะเข้าไปเทรดได้ภายในไตรมาส 2 นี้ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นราคาหุ้นก็คงพร้อมที่จะขึ้นรับข่าวดี