TACC - ซื้อ

TACC - ซื้อ

ผลประกอบการ 4Q63: เป็นไปตามคาด

Event

ผลประกอบการ 4Q63 พร้อมทั้งประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2563 เท่ากับ 0.17 บาท/หุ้น (XD: 28 เมษายน)

lmpact

กำไรสุทธิใน 4Q63 ทำสถิติสูงสุดใหม่ตามคาด

กำไรสุทธิของ TACC ใน 4Q63 ออกมาน่าประทับใจที่ 51 ล้านบาท (+14.6% YoY, +9.7% QoQ) ในขณะที่กำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 188 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการที่ออกมาเป็นไปตามที่เราคาดไว้ โดยรายได้จากยอดขายและบริการอยู่ที่ 320 ล้านบาท (-19.5% YoY, 7.3% QoQ) ในขณะที่ต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 206 ล้านบาท (-25.0% YoY, -12.0% QoQ) อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 35.6% ใน 4Q63 เพิ่มขึ้น 4.8ppts YoY และ 3.4ppts QoQ ทั้งนี้ อัตรากำไรที่แข็งแกร่งเป็นเพราะ i) ยอดขายสินค้า margin สูงเพิ่มขึ้น (ยอดขาย All Cafe คิดเป็น >70% ของยอดขายรวม) ii) ยังคงบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง (ได้แก่ ต้นทุนวัตถุดิบลดลง, คุมต้นทุน logistic ได้ดี ขณะที่ร้าน 7-Eleven เพิ่มขึ้น) และ iii) คุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี (อยู่ที่ 14.7% ใน 4Q63 ลดลงทั้ง YoY และ QoQ) โดยสรุปแล้ว ผลประกอบการของ TACC ที่ออกมาแข็งแกร่ง มีปัจจัยหนุนสำคัญจาก margin เพิ่มขึ้น เนื่องจาก product mix ที่ดี และการใช้กลยุทธ์บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มยังเป็นบวกเหมือนเดิม

ถึงแม้ว่า TACC จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ COVID-19 ระบาดใน 2Q63 แต่ผลประกอบการของบริษัทก็ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องใน 2Q-4Q63 สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทส่วนใหญ่ถูกกระทบจากโรคระบาดในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา เรายังคงมองว่าบริษัทมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ต่อเนื่องจากทั้งธุรกิจ B2B และ B2C โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ธุรกิจ B2C ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2563 ทั้งนี้ รายได้จาก B2C คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 5% ของรายได้รวมในปี 2563 เท่านั้นลดลงจาก 10-15% ในอดีต เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19

คงประมาณการกำไรปี FY64 เอาไว้เท่าเดิม

เรายังคงประมาณการกำไรปี 2564 เอาไว้ที่ 222 ล้านบาท (+17.2% YoY) โดยกำไรจะโตจาก i) การเติบโตของ outlet ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ii) การขยายสาขาร้าน 7-Eleven เป็น 12,400 ร้านในปี 2563 และเป็น 13,100 ร้านในปี 2564 iii) มีการออกสินค้าใหม่ที่ margin เพิ่มขึ้น

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 8.00 บาท (อิงจาก P/E ปี FY64F ที่ 21.8x แต่อย่างไรก็ตาม เรามองเห็น upside ที่อาจมากกว่าประมาณการปัจจุบัน เนื่องจาก i) อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด (โดยทำได้ถึง 35.6% ในงวด 4Q63) และ ii) การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ขณะที่เราประเมินราคาเป้าหมายแบบอนุรักษ์นิยมมากเกินไปเมื่อเทียบกับแนวโน้มกำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและ ROE ของบริษัทที่สูงเกิน 24%

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่