จีนแซงหน้า‘สหรัฐ’หุ้นส่วนการค้าใหญ่สุดอียู

จีนแซงหน้า‘สหรัฐ’หุ้นส่วนการค้าใหญ่สุดอียู

จีนแซงหน้า‘สหรัฐ’หุ้นส่วนการค้าใหญ่สุดอียูในปี2563 นอกจากนี้ ข้อมูลของยูโรสแตทยังระบุเมื่อวันจันทร์(15 ก.พ.)ว่า อียูขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจาก 199 พันล้านดอลลาร์ เป็น 219 พันล้านดอลลาร์

ในปี 2563 จีนแซงหน้าสหรัฐ ก้าวขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่สุดของสหภาพยุโรป(อียู) แม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกยังคงรุนแรง โดยการค้าระหว่างจีนและอียูมีมูลค่า 709,000 ล้านดอลลาร์ (586,000 ล้านยูโร หรือ 511,000 ล้านปอนด์) เทียบกับการนำเข้าและส่งออกจากสหรัฐที่มีมูลค่า 671,000 ล้านดอลลาร์

แม้ว่าเศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสแรกของปียังฟื้นตัวไม่เต็มที่เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เศรษฐกิจจีนก็ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมาเพราะอานิสงส์จากความต้องการสินค้าจากอียู

ปีที่แล้ว จีน เป็นเพียงประเทศเดียวที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ขยายตัวเพราะความต้องการรถยนต์และสินค้าหรูหราจากอียูเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่นับความต้องการสินค้าประเภทอุปกรณ์การแพทย์และอิเล็กทรอนิกส์ที่จีนส่งออกไปยุโรปในปริมาณมากขึ้น

“ในปี 2563 จีนเป็นหุ้นส่วนหลักของอียู เพราะผลพวงการนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.6% และการส่งออกเพิ่มขึ้น 2.2%” ยูโรสแตท หน่วยงานด้านสถิติของอียู ระบุ

ตัวเลขดังกล่าวของยูโรสแตท คล้ายกับข้อมูลอย่างเป็นทางการของจีนที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในเดือนม.ค.ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการค้าของจีนกับอียูขยายตัวประมาณ 5.3% เป็นมูลค่า 696.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563 นอกจากนี้ ข้อมูลของยูโรสแตทยังระบุเมื่อวันจันทร์(15 ก.พ.)ว่า อียูขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจาก 199 พันล้านดอลลาร์ เป็น 219 พันล้านดอลลาร์

ในส่วนของสหรัฐและสหราชอาณาจักร แม้ว่าทั้งสองประเทศนี้ยังคงเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของอียู แต่ปริมาณการค้าในทั้งสองประเทศกลับร่วงลงอย่างมาก

“การค้ากับสหรัฐร่วงลงอย่างมากทั้งการนำเข้าที่ลดลง 13.2% และการส่งออกลดลง 8.2%”ข้อมูลจากยูโรสแตท ระบุ

การที่ปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐและอียูปรับตัวร่วงลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการตอบโต้กันไปมาระหว่างสหรัฐและอียูที่มีผลพวงจากการเก็บภาษีเหล็กและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ คอนยัคของฝรั่งเศส และรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์-เดวิดสันของสหรัฐ โดยในปีที่แล้ว ปริมาณการค้าของสหรัฐและอียูมีมูลค่า 671 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 746 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐบาลใหม่ของสหรัฐ ภายใต้การบริหารของ โจ ไบเดน จะประเมินความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและยุโรปใหม่หรือไม่ ขณะที่อียูและจีน พยายามที่จะกระชับสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการพยายามทำข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างกันที่จะเปิดทางให้บริษัทยุโรปเข้าถึงตลาดจีนได้มากขึ้น

ขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต บริษัทวิจัยชั้นนำคาดการณ์ว่า มูลค่าการค้าโลกที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7.6% หลังจากประมาณการว่าการค้าโลกจะหดตัว 13.5% ในปี 2563 เป็นมูลค่า 16.4 ล้านล้านดอลลาร์

ในส่วนของอียู ที่มองว่าจีนคือโอกาสด้านการค้าการลงทุนและตอนนี้เริ่มเห็นแล้วว่าจีนเป็นทั้งพันธมิตร คู่แข่ง และ คู่ปรับ ประกอบกับอียูต้องการเดินหน้าด้านความสัมพันธ์กับจีนเพื่อเป็นพันธมิตรในการผลักดันประเด็นท้าทายระดับโลกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ความร่วมมือเพื่อผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ภายใต้องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) หรือการผลักดันความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ที่ผ่านมา เว็บไซต์วอลล์สตรีทเจอร์นัล นำเสนอรายงานเชิงวิเคราะห์ว่า จีนกำลังจะเป็นประเทศเป้าหมายที่ต่างชาติจะเข้าไปลงทุนโดยตรงอันดับหนึ่งของโลก นับตั้งแต่ปี 2563 ที่วิกฤตการณ์โควิด-19 ระบาด ซึ่งตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ(เอฟดีไอ)มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก

ข้อมูลของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ระบุว่า สหรัฐอยู่ในช่วงยากลำบากจากการพยายามยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 และมีผลผลิตทางเศรษฐกิจลดลงจนส่งผลให้ฐานะการเป็นเป้าหมายการลงทุนจากต่างชาติลดลง 49%

ทำให้จีนซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่ 2 ของประเทศเป้าหมายการลงทุนโดยตรงมาตลอด กลายเป็นอันดับหนึ่งโดยที่มีบริษัทจากต่างประเทศเข้าไปลงทุนเพิ่มขึ้น 4% แม้ว่าทางการจีนมีการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดในการควบคุมโรคในช่วงต้นๆ ของการระบาดทำให้ควบคุมโรคได้เป็นส่วนใหญ่

ตัวเลขการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในจีนปี 2563 ตอกย้ำว่าจีนกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกจากที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นของสหรัฐ